ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1213 นางเคยไปมาแล้ว
ตอนที่ 1213 นางเคยไปมาแล้ว
ที่แห่งนั้นคือหน้าผาแห่งหนึ่ง
บนหน้าผามีศาลาแปดเหลี่ยม
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สถานที่แห่งนี้ช่างคุ้นตาอย่างมาก
เพราะนางเคยมาที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง!
นางยังจำได้ว่า นางกับหรงซิวเคยเล่นหมากรุกด้วยกันที่นี่
และที่แห่งนี้เอง ที่ทั้งสองคนได้ให้คำมั่นสัญญาว่า นางจะกลับไปคุยเรื่องงานหมั้นกับเสด็จพ่อที่เทียนลิ่ง
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็พบว่าภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้ชัดเจนกว่าเดิมมาก
แต่ประเด็นที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…ในที่สุดนางก็สามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบของศาลาแปดเหลี่ยมแห่งนี้!
เหมือนว่านางกำลังยืนอยู่กลางศาลา
เมื่อมองไปจะมีภูเขาคดเคี้ยวรายล้อม เขียวชอุ่มละลานตา
ใต้หน้าผามีสายน้ำลดเลี้ยว สีเขียวมรกตไหลผ่าน
นางรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย เหมือนว่าเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
ต่อมานางก็เดินไปด้านข้างของศาลาแปดเหลี่ยม ก่อนจะมองไปอีกฝั่ง
ทันใดนั้นเองร่างของนางก็แข็งค้าง นางมองไปยังทิวทัศน์ที่ห่างไกล หัวใจกับเต้นกระหน่ำขึ้นมา
ที่นั่นคือทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ตำแหน่งของทะเลสาบแห่งนั้นจึงไม่ได้เตี้ยมาก เมื่อมองจากตรงนี้ จะเห็นได้ว่าน้ำในทะเลสาบเหล่านั้นอยู่ในระดับเชิงเขาแล้ว
กอปรกับยอดเขาที่นางยืนอยู่นี้สูงเป็นพิเศษ นอกนั้นแม้ว่าพวกเขาจะทอดยาว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองของนางเลย
จากตรงนี้สามารถทำให้นางมองเห็นทะเลสาบ และทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างชัดเจน
แสงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบกับระลอกน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ
เหนือขึ้นไปนั้นมีดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่ง
พวกมันลอยละล่องอยู่ในสายน้ำอย่างนิ่งๆ พร้อมสั่นไหวกับเกลียวคลื่น
บางกิ่งก้านก็พลิ้วไหวไปตามลม
ด้านข้างทะเลสาบ ก็ได้ปลูกสมุนไพรอื่นๆ เอาไว้ด้วย ดูแล้วเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่ามีคนดูแลมันเป็นอย่างดี
หมอกสีขาวจางๆ ทำให้สิ่งเหล่านี้ดูเลือนรางราวกับเป็นแดนเซียน
ความงามทั้งหมดเหมือนกับภาพลวงตา
ฉู่หลิวเยว่อ้าปากค้าง ในตอนนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างใด ในใจเหลือเพียงความตกตะลึงเท่านั้น
ทันทีที่นางได้เห็นฉากนั้น นางก็เข้าใจได้ว่า ที่นั่นจะต้องเป็นสวนสมุนไพรแห่งนั้นอย่างแน่นอน!
แท้ที่จริงมันเป็นเช่นนี้นี่เอง…
ที่แท้หากนางยืนอยู่ตรงนี้ ก็สามารถเห็นทิวทัศน์ได้ทั้งหมด!
ฉู่หลิวเยว่มองไปโดยรอบอีกครั้ง
ทันใดนั้นเองนางก็นึกออกว่า หน้าผาแห่งนี้อยู่ในสำนัก
พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ของปรมาจารย์ค่ายกล กับเซียนหมอ ซึ่งอยู่ห่างจากหุบเขาวาโยโอสถไม่ไกล เพียงเพราะปัจจัยทางภูมิประเทศ หากต้องการจะไปที่แห่งนั้น จำเป็นจะต้องอ้อมเขาลูกใหญ่
คนส่วนใหญ่ก็จะอ้อมด้วยเส้นทางเหล่านั้น
แต่ว่า นางไม่ทำเช่นนั้น
เพราะว่า…
นางเคยไปที่สวนสมุนไพรแห่งนั้นมาก่อนแล้ว!
…
หอระฆังบูรพกษัตริย์
เพราะว่าจินหมิ่นเย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ
ภายในห้องโถงที่ไร้เสียง เหมือนกลับมีจิตสังหารที่เข้มข้นแผ่กระจายออกมา
ผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูง จึงสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าจิตสังหารเหล่านั้นมาจาก…หรงซิว!
ใบหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาหลายส่วน
“ท่านเจ้าสำนักจิน”
หรงซิวพูดขึ้น น้ำเสียงเย็นชา ซึ่งเหมือนว่าจะเย็นชากว่าปกติ และยังเพิ่มเย็นยะเยือกอีกสามส่วน
“การตายของจินเหลย นั่นเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับแล้ว หากท่านยังจะพัวพันไม่เลิก…พระราชวังเมฆาสวรรค์ของข้า ก็พร้อมต้อนรับอยู่ตลอดเวลา!”
จินหมิ่นเย่าตกใจอย่างยิ่ง จากนั้นเขาถึงตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้
หรงซิวหมายความว่าอย่างใด?
เขายกยิ้มขึ้นมุมปาก“หรงซิว นี่เจ้ากำลังยั่วโมโหเจ้าสำนักอย่างข้าหรือ? เพื่อคนที่ไม่มีความสำคัญเพียงคนเดียว?”
เมื่อครู่นี้เขาได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ขอเพียงแค่อีกฝ่ายส่งคนผู้นั้นออกมา เขาจะไม่ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องอื่นอีก
แต่เมื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของหรงซิว…
คาดไม่ถึงว่าเขาต้องการจะปกป้องคนผู้นั้น!
จินหมิ่นเย่ารู้สึกสงสัยอยู่หลายส่วน
“น่าสนใจดีนี่…ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ปกป้องได้?”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้น พร้อมหัวเราะเสียงเย็น
“เขาเป็นคนที่ท่านไม่สามารถจะล่วงเกินได้”
“เจ้า…”
จินหมิ่นเย่าหน้าเปลี่ยนสี แต่เมื่อเห็นว่าแววตาของหรงซิวไม่มีความล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ในใจก็บังเกิดความลังเลขึ้นมาหลายส่วน
ในตอนนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสาวเท้าเดินก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แรงกดดันแผ่กระจายออกมาจากร่างกาย!
“เจ้าสำนักจิน เรื่องในวันนี้ เจ้าต้องการจะสานต่อหรือไม่?”
เป็นการเตือนที่ไม่พูด แต่ก็ชัดเจนอย่างมาก!
จินหมิ่นเย่าขมวดคิ้วแน่น
ที่นี่คือถิ่นของสำนักหลิงเซียว เขามาที่นี่คนเดียว หากจะต้องต่อสู้กันจริงๆ แล้วละก็ เขาจะเป็นคู่ต่อสู้กับคนเหล่านี้ได้อย่างใด!
เมื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะยอมถอย
“ได้! ได้! ในเมื่อพวกเจ้าปกป้องกันเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น…ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไปก่อน แต่ฐานะของคนผู้นั้น เจ้าสำนักอย่างข้าจะตรวจสอบอย่างชัดเจน! หากวันหน้าได้เจอกัน…”
เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ก็ถึงเวลาชดใช้ของเขาแล้ว!”
เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างดุดัน พร้อมสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ ไปทางประตู!
“เจ้าสำนักจิน”
ทันใดนั้นเองหรงซิวก็เรียกชื่อเขาขึ้นมา
จินหมิ่นเย่าหยุดนิ่ง หันกลับไปมองอย่างหมดความอดทน แต่ใบหน้าของหรงซิวนั้น กลับมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น
“จะลองดูก็ได้”
…
จินหมิ่นเย่าจากไปด้วยความโมโห
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงก็ต่างรู้สึกโมโหมากเช่นกัน สายตาที่พวกเขาหันไปมองหรงซิว มีทั้งชื่นชม และยินดี
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเหลือบสายตามองหรงซิว และรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ความจริงแล้วเขาอยากจะถามว่า หรงซิวกับฉู่เยว่ผู้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างใดกันแน่
พี่น้อง?
เหมือนว่ามารดาของเขาจะมีเขาเป็นบุตรแค่คนเดียว หลังจากนั้นไม่นานมารดาเขาก็จากไป อีกทั้งญาติฝ่ายแม่ของเขา ก็เหมือนจะไม่มี่พี่น้องคนอื่น
สหาย?
ก็เหมือนดูจะสนิทสนมมากกว่านั้นเสียอีก…
อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นหรงซิวโกรธแทนคนอื่น
แต่ตอนนี้ตราบใดที่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉู่เยว่ เหมือนว่าจะส่งผลต่ออารมณ์ของเขาได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกอย่างมาก
เป็นทั้งครูเป็นทั้งเพื่อน?
แต่นี่ก็ดูเหมือนจะใกล้ชิดกันไปหน่อย
ไม่เช่นนั้นหรงซิวไม่มีทางสอนวิธีการเปิดค่ายกลของสำนักให้แก่ฉู่เยว่แน่
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคิดทบทวนไปมา ก็ได้คำตอบมาว่า ทั้งสองคนน่าจะคุยกันอย่างถูกคอ
นิสัยของหรงซิวเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนอื่นยากจะเข้าใกล้
แต่ตอนที่เขาอยู่กับฉู่เยว่ เหมือนว่าเขาจะผ่อนคลายอย่างมาก และปลดปล่อยเรื่องราวเหล่านั้นออกจนหมด
เหมือนว่าฉู่เยว่เต็มใจที่จะแลกชีวิตเพื่อปกป้องหรงซิว ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนน่าจะลึกซึ้งกันอย่างมาก
แต่สุดท้ายผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ไม่ได้ถามออกไป
ทุกคนแยกย้ายกันกลับอย่างรวดเร็ว
หรงซิวกลับมายังที่พักของเขาอีกครั้ง
…
ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็มาถึงต้นเดือนอีกครั้ง
สำนักจัดการประเมินทุกหนึ่งเดือนเช่นเดิม
และเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด มีการคัดเลือกศิษย์ใหม่สองสามคน ส่วนศิษย์เก่าก็เข้ารับการประเมินต่อไป
หลัวซือซือ และคนอื่นๆ ก็อยู่เกินหนึ่งเดือนแล้ว โดยปกติแล้วก็จะสามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตในสำนักได้แล้ว อีกทั้งผลการประเมินของพวกเขาทุกคนก็ยอดเยี่ยม
แต่เพราะว่าฉู่หลิวเยว่ยังไม่สามารถมาปรากฏกายได้ อารมณ์ของพวกเขาจึงไม่ค่อยดีนัก
“เฮ้อ ถ้าฉู่เยว่อยู่ที่นี่ก็ดีสิ!”
จัวเซิงลูบปลายคาง พูดขึ้นอย่างเสียดาย
“ไม่มีเขาอยู่ ที่นี่ก็ไม่สนุกเลย เดิมทีข้าอยากจะดูเสียหน่อยว่าผลการประเมินของเขาจะเป็นอย่างใด!”
เพราะว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ตอนนี้พวกเขาต่างรู้แล้วว่า ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กคนนั้นได้ซ่อนฝีมือที่แท้จริงของตนเองเอาไว้
เดิมทีเขาคิดว่าจะสามารถใช้เวลานี้ถามอีกฝ่ายได้
น่าเสียดายที่เขาถูกขังอยู่ในเขาเฝิงหมินอีกแล้ว!
“ได้ยินมาว่าสภาพแวดล้อมของเขาเฝิงหมินนั้นย่ำแย่อย่างมาก บทลงโทษนั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างใดบ้าง…”
หลัวซือซือบ่นพึมพำ