ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1233 เลื่อนอันดับ
ตอนที่ 1233 เลื่อนอันดับ
ฝ่ามือขาวสว่างค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ทาบทับลงบนผืนกำแพงสีดำในที่สุด
สีขาวที่สลับตัดกับสีดำ สีทั้งสองที่ตัดกันอย่างรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มความเปล่งประกายระยิบระยับให้แก่รายนามเหล่านั้น ประหนึ่งกำลังประกอบกันเป็นรูปวาดก็มิปาน
ทั้งเงียบสงบและเป็นประกายสว่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ทั้งยังเปี่ยมด้วยเกียรติและความหนักแน่น
สัมผัสเย็นวาบที่ฝ่ามือพลันแล่นปราดขึ้นมา
เลือดในกายฉู่หลิวเยว่กลับเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น สูบฉีดเข้าทุกข้อกระดูกและเส้นเอ็นอย่างว่องไว!
หัวใจของนางราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างกำเอาไว้แน่น
คนทุกผู้ล้วนคิดกันไปแล้วว่านางในตอนนี้ย่อมต้องรู้สึกภาคภูมิ ชอบใจ เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นางประหม่าเสียจนไม่รับรู้ถึงกระทั่งสุ้มเสียงใดๆ จากรอบทิศทางเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่นางได้เห็นและได้ยินในตอนนี้ ล้วนคงเหลือแต่เพียงอันดับรายชื่องานประลองชิงอวิ๋นตรงหน้าเท่านั้น!
เมื่อวานนี้ นางเองก็ยืนอยู่ที่นี่เช่นกัน
ราวกับว่ากระแสพลังที่ชวนให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่งยวดเหล่านั้นกำลังพรั่งพรูอยู่ในใจก็มิปาน
นางถ่ายทอดพลังปราณดั้งเดิมสายหนึ่งออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ก่อนจะส่งมันเข้าสู่อันดับรายชื่องานประลองชิงอวิ๋น!
หึ่ง!
สุ้มเสียงกระหึ่มกังวานแผ่วเบาสายหนึ่งพลันลอยแว่วเข้ามาในหู!
ใจของฉู่หลิวเยว่เต้นกระตุกอย่างแรงในบัดดล! นางเกือบจะชักมือของตนกลับออกมาเสียแล้ว!
ทว่าในครู่ต่อมา สุ้มเสียงสายนั้นกลับเลือนหายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามิเคยปรากฏมาก่อน!
ฉู่หลิวเยว่พลันตะลึงงัน
นางยืนรออย่างสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุ้มเสียงนั้นก็มิได้ดังขึ้นมาอีก กระทั่งกระแสพลังที่เดิมควรจะปรากฏออกมาก็มิได้เผยตัวแม้แต่แวบเดียว!
หลังจากนั้น แสงสว่างเรืองรองก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง จากนั้นก็ทะยานพุ่งขึ้นไปด้านบน!
นางรีบเลื่อนสายตามองตามไปในทันที!
กลุ่มแสงสว่างลำนั้นเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่รายชื่ออันดับสุดท้ายบนติดประกาศงานประลองชิงอวิ๋น
จากนั้น ชื่อ ‘ถังรุ่ย’ ก็จางหายไปอย่างเงียบๆ
ก่อนจะถูกแทนที่ลงไปด้วยชื่อของนาง!
ยามเห็นตัวอักษรข้างบนนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว ใจของนางที่ถูกห้อยไว้กลางอากาศก็พลันสงบลงได้ในที่สุด
เพราะว่าชื่อที่ปรากฏบนนั้นคือ…
ฉู่เยว่!
…
เรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดยังไม่เกิดขึ้น นี่ก็ทำให้ฉู่หลิวเยว่สงบใจลงไปได้ไม่น้อยแล้ว
นางเงื้อศีรษะขึ้นเล็กน้อย มองขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุด
ณ ที่ตรงนั้นก็ยังคงมืดสนิทมิแปรเปลี่ยน
นามที่ถูกปิดบังนามนั้นมิได้ปรากฏออกมาแต่อย่างใด
ดูไปแล้วทุกอย่างก็ยังคงปกติ
นางจึงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างแผ่วเบา
…
บรรดาฝูงชนที่คอยรับชมอยู่ต่างพากันเงียบกริบ
ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีความกังขาแคลงใจหรือข้อครหามากเพียงใด บัดนี้สิ่งเหล่านั้นเองล้วนสลายหายไปดั่งหมอกควัน!
ไม่มีอันใดจะพิสูจน์ความสามารถของคนคนหนึ่งได้ชัดแจ้งไปมากกว่าการชนะการประลองเช่นนี้ แล้วได้เลื่อนอันดับขึ้นสู่ติดประกาศของงานประลองชิงอวิ๋นอย่างเป็นทางการแล้ว!
แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ผู้คนไม่อยากเชื่อก็ตาม ทว่า…สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว!
เหนือหอระฆังบูรพกษัตริย์ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลูบเคราของตนไปมาพลางผงกศีรษะด้วยท่าทีพออกพอใจไม่เบา
“ฉู่เยว่ผู้นี้ ช่างเป็นผู้มีความสามารถที่ควรค่าแก่การสอนสั่งจริงๆ”
ให้ความรู้สึกจางๆ เหมือนแม่หนูนั่นในตอนนั้นอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว
ทั้งก่อเรื่องสร้างปัญหาเก่งเหมือนกัน แล้วก็ฉลาดหลักแหลมเป็นกรดเหมือนกัน
เหมือนแม้กระทั่ง มีทักษะและพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ทั้งในส่วนของปรมาจารย์และด้านของจอมยุทธ์
“เหมือนว่าเจ้าจะคาดหวังในตัวของฉู่เยว่ผู้นี้ไว้มากทีเดียวนะปั๋วเหยี่ยน”
สุ้มเสียงสายหนึ่งดังแว่วขึ้นมาจากทางด้านหลังของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหันกลับไปมอง ก่อนจะเอ่ยแกมหัวเราะว่า
“ก็ใช่น่ะซี เจ้าเพิ่งกลับมา ยังไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าไรนัก เจ้าเด็กนี่น่ะ…เก่งกาจอย่าบอกใครเลยเทียว”
“ทำให้หรงซิวให้ความสำคัญแก่ตนได้ถึงเพียงนี้ ดูก็รู้แล้วว่ามีทักษะไม่เลว”
บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามา ก่อนจะหลุบตามองไปยังเบื้องล่างแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า
“ดูไปแล้วไม่เลวจริงๆ แต่ว่าเหล่าเมิ่งเองดูไม่ชอบเขาอยู่พอตัวเลย”
“เจ้าไปเขาเฝิงหมินมาหรือ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ซั่งอวี้เซินเหยียดเบะมุมปาก
“นี่ยังต้องถามอีกหรือ? หากปล่อยให้เหล่าเมิ่งรู้ว่าข้ากลับมาแล้วไม่ยอมโผล่หน้าไปหาในทันที ข้าก็คงไม่ได้ออกมาเดินเตร่เช่นนี้หรอก”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“นี่ก็จริงของเจ้า แต่เจ้าพูดว่าเหล่าเมิ่งไม่พอใจฉู่เยว่อย่างนั้นหรือ? หรือว่าตอนที่เจ้าเด็กนี่ถูกขังอยู่ในเขาเฝิงหมินก่อนหน้านี้ ไปก่อเรื่องอันใดเกินเหตุเข้าหรือไม่?”
ซั่งอวี้เซินยืดนิ้วหนึ่งออกมาพลางส่ายไปมา สีหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มแฝงความนัยมากเล่ห์
“เปล่า”
“ข้าแค่ไม่ได้เห็นคนที่กวนเหล่าเมิ่งจนอารมณ์แปรปรวนได้ง่ายๆ เช่นนี้มานานมากแล้ว อีกอย่าง…ทำให้ตาแก่นั่นจำได้ไม่รู้ลืมแบบนี้ได้อีก ดังนั้นต้องเป็นคนน่าสนใจอยู่บ้าง พูดแบบจริงจังเลยก็คือเหล่าเมิ่งไม่ได้ไม่พอใจในตัวฉู่เยว่ แต่เหมือนกับว่า…เขากำลังรู้สึกสนใจมากกว่า”
ซั่งอวี้เซินคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเหล่าเมิ่งพลางถูคางของตน
“แม้แต่ข้ายังอยากมาเจอฉู่เยว่ด้วยตัวเองเลย”
เขามองไปยังผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแวบหนึ่ง
“เพิ่งเข้าสำนักมาได้สองเดือน เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการถูกขังอยู่ในเขาเฝิงหมินแล้ว คนประเภทนี้น่ะไม่ได้ปรากฏมาให้เห็นหลายปีแล้วหนา?”
นับได้ว่ามีความสามารถจริงๆ
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหัวเราะร่า
“ตอนนี้เขาเป็นถึงศิษย์รักของวั่นเจิงเชียวนะ วั่นเจิงรักใคร่เอ็นดูเขายิ่งกว่าอันใดดี เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยจะดีกว่า”
“นี่จะเป็นการหาเรื่องได้อย่างใดกัน? มีศิษย์ตั้งเท่าไรที่อยากได้คำชี้แนะจากข้าแต่ไม่มีโอกาสน่ะ!”
ซั่งอวี้เซินไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
“หากว่าเก่งมากพอ จะจัดการข้าก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยตลกขบขันนัก
ซั่งอวี้เซินพลันคิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไปว่า
“จริงสิ ก่อนหน้านี้เจ้าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อขนนกสีหม่นบาดาลชิ้นนั้นน่ะ คงหอบเอากลับมาแล้วกระมัง?”
สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพลันบิดเบี้ยวขึ้นมาหลายส่วน
“…เอากลับมาแล้ว”
ซั่งอวี้เซินสายตาเป็นประกายวับวาว
“เก็บไว้ไหนเสียล่ะ? ข้าคิดถึงเจ้าของสิ่งนั้นมานานแล้ว ตอนนี้ในที่สุดก็เอากลับมาเสียที เจ้าต้องให้ข้าศึกษามันอย่างละเอียดเลยนะ!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเลิกคิ้ว
“เรื่องนี้เจ้ามาบอกข้าก็ไม่มีประโยชน์ ของไม่ได้อยู่ที่ข้า”
“ไม่อยู่กับเจ้า แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?”
ซั่งอวี้เซินพลันตกตะลึง
ของสำคัญเช่นนี้ หลังจากที่เอากลับมาได้แล้ว ตามหลักก็สมควรจะอยู่ภายใต้ความดูแลของเจ้าสำนัก
ทว่าตอนนี้เจ้าสำนักไม่อยู่ ของย่อมต้องอยู่ใต้ความรับผิดชอบของปั๋วเหยี่ยนสิ
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนบุ้ยคางไปทางเด็กหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ด้านล่าง
“โน่น อยู่ที่เขาน่ะ”
ซั่งอวี้เซินหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“หา? ล้อเล่นอันใดกัน? จะเป็นเจ้าเด็กนั่น…
“ของชิ้นนั้นรับเขาเป็นเจ้านายของมันแล้ว”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนค่อยๆ เอ่ยอธิบายอย่างเอื่อยเฉื่อยพลางมองสีหน้าของบุรุษฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วด้วยความอิ่มเอมใจ ช่างน่าดูชมยิ่งนัก!
ซั่งอวี้เซินหลับตาลง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
“เจ้าเด็กบัดซบเอ๊ย!”