ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1234 เฉลิมฉลอง
ตอนที่ 1234 เฉลิมฉลอง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลอบหัวเราะอยู่ในใจ
ซั่งอวี้เซินเฝ้าคิดถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างแอ่งบุหรงมรกตมานานหลายปี คอยคะนึงหาใฝ่ฝันว่าสักวันมันจะถูกนำกลับมายังสำนัก เขาจะได้ศึกษาค้นคว้ามันอย่างละเอียดถี่ยิบให้สมกับการรอคอยสักที
ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่า เขาแค่ปิดด่านเก็บตัวเพียงไม่กี่เดือน พอออกมาอีกที อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ก็มีเจ้าของไปเสียแล้ว!
ต้องเข้าใจก่อนว่า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีเจ้าของไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นแล้ว
แผนการที่วางไว้ล่วงหน้าของซั่งอวี้เซินเรียกได้ว่าพังทลายโดยสมบูรณ์
แล้วเขาจะไม่โกรธได้อย่างใด?
“แต่เจ้าก็ไม่เห็นต้องไปทำอันใดๆ ให้มันยากแก่ฉู่เยว่เลยนี่นา ความจริงแล้ว เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญเสียด้วยซ้ำ”
ครู่ต่อมาหลังจากนั้น ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็จัดการเล่าอย่างชัดเจนถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้ซั่งอวี้เซินไปรอบหนึ่ง
ในระหว่างนั้น สีหน้าของซั่งอวี้เซินแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดหย่อน ทำท่าจะเอ่ยแทรกคำพูดของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเองก็หลายครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ยังอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าการอธิบายกับเขาเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้เขายอมปล่อยวางได้เลย
เพราะว่ากันตามตรง เขาคอยเฝ้ากังวลถึงของสิ่งนั้นมาหลายปี พอมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ถูกเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นเก็บเข้ากระเป๋าไปเสียแล้ว เขายังใจเย็นอยู่ได้นี่สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก!
“จริงๆ แล้วในฐานะช่างหลอมอาวุธ เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจสิว่าเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถก็จริง แต่สำคัญอยู่ที่วาสนานำพามากกว่านะ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยพลางถอนใจ
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นน่ะไร้ซึ่งวิญญาณสิงสถิต ทว่าตอนนั้นที่ฉู่เยว่เหวี่ยงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้นหนึ่งของตัวเองออกไป วิญญาณกระบี่ก็ได้ใช้กำลังแฝงตัวเข้าไป แล้วก็เปลี่ยนของสิ่งนั้นให้กลายเป็นของนาง… ที่สำคัญที่สุดก็คือ เดิมทีแล้ววิญญาณกระบี่น่ะไม่สามารถสยบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นได้ ทว่าสุดท้ายมันก็ทำได้อยู่ดี อธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่า เป็นของสิ่งนั้นเองนั่นละที่เลือกเขา…”
เรื่องแบบนี้น่ะ จะไม่ให้คนอื่นเขาอิจฉาลงได้อย่างใด
“เหอะ”
ซั่งอวี้เซินแค่นเสียงเย็นเยียบคราหนึ่ง
“สักวันข้าต้องไปเจอเจ้าเด็กนั่นเสียหน่อยแล้วว่าเขามีดีอันใดกันแน่!”
…
ฉู่หลิวเยว่ในตอนนั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตนกำลังถูกใครหลายคนจับตามองอยู่
ยามเห็นชื่อ ‘ฉู่เยว่’ สองคำปรากฏอยู่บนรายชื่อติดประกาศงานประลองชิงอวิ๋น อารมณ์ของนางพลันผ่อนคลายสบายใจลงหลายระดับ
นางจดจ้องไปยังนามนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังด้านหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิง
“ท่านอาจารย์ขอรับ เรื่องที่ท่านเคยพูดว่าตอนก่อนนี้ยังนับอยู่หรือไม่ขอรับ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหัวเราะร่าออกมาอย่างอดไม่ได้
“ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องทวงถึงเรื่องนี้แน่ๆ! วางใจเถอะ! ข้าพูดคำไหนคำนั้น เอ่ยแล้วไม่คืนคำ! รับปากเจ้าไว้แล้ว ย่อมต้องทำได้เหมือนอย่างที่พูด!”
มันก็แค่คะแนนสะสมกับสมุนไพรเล็กๆ น้อยๆ มิใช่หรือไร?
ศิษย์ที่สามารถบำเพ็ญตนจนโดดเด่นพุ่งสูงเช่นนี้ก็ดีใจแทบจะไม่ทันอยู่แล้ว ไหนเลยจะต้องมาเสียใจเสียความรู้สึกกับของพวกนั้นด้วย?
“นี่ให้เจ้า!”
เอ่ยจบ ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็สะบัดมือเป็นวงกว้างคราหนึ่ง!
กลุ่มแสงสว่างเป็นประกายเรืองรองพลันผ่านวาบเข้ามา!
ฉู่หลิวเยว่คว้าของสิ่งนั้นเอาไว้มั่น
เมื่อมองจ้องดีๆ แล้ว ใจของนางก็พลันเต้นกระตุกอย่างแรงจนห้ามไม่อยู่ นี่มันคือตราหยกสีเขียวของผู้อาวุโสวั่นเจิงนี่นา!
นี่เขาคิดจะมอบของสิ่งนี้ให้แก่ตนตรงๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
ในตอนที่ใจของฉู่หลิวเยว่ปรากฏความคิดนี้ผุดขึ้นมานั่นเอง ก็ได้ยินผู้อาวุโสวั่นเจิงตะโกนออกมาเสียงดังสนั่นว่า
“เพื่อเป็นรางวัล ครั้งนี้ข้าจะมอบคะแนนสะสมสองแสนแต้มให้แก่เจ้า! นอกจากนี้แล้ว สามเดือนหลังจากนี้ สมุนไพรทุกชนิดที่เจ้าเก็บมาจากหุบเขาวาโยโอสถล้วนจดลงบัญชีในชื่อของข้าทั้งสิ้น!”
สิ้นเสียงพูด ไม่เพียงแค่ฉู่หลิวเยว่ กระทั่งบรรดาฝูงชนที่คอยรับชมอยู่โดยรอบเองก็ชะงักกันทั่วถ้วน
คะแนนสะสมสองแสนแต้มอย่างนั้นหรือ!?
คะแนนสะสมในสำนักที่พวกเขาเก็บหอมรอมริบกันมาหลายปียังไม่เยอะขนาดนี้เลย!
นี่ฉู่เยว่กลับได้มันไปในพริบตาแบบนี้เลยหรือ!?
สำหรับศิษย์เซียนหมอจำนวนมากที่อยู่กันในที่นี้นั้น นี่หาใช่เรื่องที่พวกเขาอิจฉาที่สุดไม่
สิ่งที่พวกเขาอิจฉาที่สุด แท้จริงแล้วคือการเก็บสมุนไพรจากหุบเขาวาโยโอสถได้ตามใจเป็นระยะเวลากว่าสามเดือน!
ในฐานะเซียนหมอแล้ว สมุนไพรเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างขาดไม่ได้
อีกทั้งในการเลื่อนระดับนั้น สมุนไพรที่จำเป็นต่อการปรุงยาอายุวัฒนะเองก็ยิ่งทวีความมีค่าราคาสูงขึ้นไปอีก
นี่ก็ทำให้ราคาที่ต้องจ่ายในการฝึกตนของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนบางคนก็ไร้หนทางจะแบกรับภาระไหว
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถใช้การขายยาอายุวัฒนะเพื่อแลกกับคะแนนสะสมได้ แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่ใช่การปรุงยาทุกครั้งที่จะประสบผลสำเร็จ
บางครั้งการล้มเหลวไปแล้วหลายร้อยหลายพันรอบก็เป็นเรื่องปกติ
ทว่าขั้นตอนนี้นั้นผลาญทรัพยากรที่มีไปในจำนวนมหาศาลยิ่งนัก
มีบางคราที่ต่อให้พวกเขาใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียร มันก็ยังคงเกินความสามารถของพวกเขาอยู่ดี
มาตอนนี้ ผู้อาวุโสวั่นเจิงออกปากให้เข้าไปใช้สมุนไพรตามใจชอบได้เป็นเวลาสามเดือน นี่มีใครบ้างที่จะไม่รู้สึกอิจฉากัน!?
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ ทั้งคิ้วและดวงตาต่างวาดเป็นโค้งสวยงาม
นางดีใจมากจริงๆ
เดิมทีคิดว่าเพียงหนึ่งเดือนก็เต็มที่แล้ว ใครจะไปนึกว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงจะสุดยอดเช่นนี้ ถึงกับเอ่ยอนุญาตให้เข้าออกได้สามเดือนในทันที!
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาเสียงดังลั่น
การประลองกันในวันนี้ทำให้เขาได้เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่แอบซ่อนอยู่ในร่างของฉู่หลิวเยว่
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้แล้ว สิ่งที่ทำได้ในฐานะเหวยซือคือการอดทนสอนสั่งสิ่งที่ถูกต้องอย่างใจเย็น อีกทั้งยังต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปัดเป่าข้อกังวลใจทั้งหมดให้สลายไป
เขาแทบจะอดใจรอดูฉู่เยว่ในสามเดือนนี้หลังจากนี้ไปไม่ไหวแล้ว!
…
ฉู่หลิวเยว่นำตราหยกทั้งสองอันมาวางประกบกัน ลำแสงเรืองรองสายหนึ่งพลันเคลื่อนผ่านวาบอย่างรวดเร็ว
บนตราหยกดำของนางพลันปรากฏเลขศูนย์จำนวนมากต่อท้าย
หางคิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย มุมปากเองก็คลี่แย้มออกเป็นรอยยิ้มน่ามอง
โชคดีเสียจริงที่เมื่อครู่มิได้เอ่ยปฏิเสธคำท้าประลองกับถังรุ่ยออกไป
มิเช่นนั้นแล้วนางคงพลาดสิ่งของอันใดไปเยอะแยะเป็นแน่
นางเก็บตราหยกของตนกลับไป จากนั้นก็ส่งมอบตราหยกสีเขียวกลับคืนด้วยท่าทีนอบน้อมอย่างยิ่ง
ถังรุ่ยประสานมือไปทางนางก่อนจะเอ่ย
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ คราวหลังหากมีโอกาส พวกเรามาแลกเปลี่ยนวิชากันอีกสักรอบเถิด!”
ฉู่หลิวเยว่เองก็ส่งยิ้มกลับไปให้เช่นกัน
“ได้สิขอรับ ฉู่เยว่สะดวกรอศิษย์พี่ถังรุ่ยเสมอ”
ดังนั้นแล้ว ถังรุ่ยจึงหมุนกายจากไป
เขามิได้หาผู้ที่จะไปท้าประลองด้วยต่อ ตรงกันข้ามเขากลับเดินออกจากลานประลองไป
ดูท่าแล้ว คงวางแผนจะมาประลองอีกรอบในช่วงเดือนหน้ากระมัง
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองผู้อาวุโสวั่นเจิง
“ท่านอาจารย์ ในเมื่อการประลองฟากนี้จบลงแล้ว ข้าเองก็อยากขอตัวกลับไปฝึกตนต่อแล้วขอรับ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงลูบคางของตนไปมา
เดิมทีเขาอยากจะซักถามฉู่เยว่ให้ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของใบสั่งยาสูตรนั้น ทว่าเมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่มิมีใจอยากรั้งอยู่ที่นี่ต่อแล้วจริงๆ เขาก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงไป
“ได้สิ วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนก็แล้วกัน!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงตบบ่านาง
จะถามเรื่องใบสั่งยาเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้ เห็นทีไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
เอาไว้มีเวลาว่างค่อยถามรายละเอียดวันหลังก็แล้วกัน
เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสวั่นเจิงแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็คำนับรอบหนึ่ง ก่อนจะขอปลีกตัวออกมาด้วยความรวดเร็ว
ฝีเท้าของนางรอบนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วนต่างจากขามาลิบลับ
บรรดาฝูงชนคิดเพียงว่าเพราะนางชนะการประลองถึงแสดงออกเช่นนี้ เลยมิได้คิดอันใดต่อมากมาย
ในตอนนี้ พวกเขาแค่รู้สึกอิจฉาตาร้อนนักที่ฉู่เยว่ได้ผู้อาวุโสที่ใจกว้างถึงเพียงนี้มาเป็นอาจารย์
แน่นอนว่าตัวพวกเขาเองย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า การที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงทำเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าฉู่เยว่สมควรได้รับมัน
…ใครไม่อยากได้ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างยิ่งยวดเช่นนี้บ้างเล่า?
พวกเขาก็ทำได้แค่คอยมองดูแล้วนึกอิจฉาก็เท่านั้น
…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เดินลงมาจากลานประลองแล้ว พวกหลัวซือซือก็รีบกรูกันเข้ามาแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว
ในความยินดีเหล่านั้นก็มีทั้งคำชมเชยและคำอุทานอย่างแปลกประหลาดใจ
ส่วนฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่าพวกเขาแต่ละคนเองก็ทำผลงานออกมาได้ยอดเยี่ยมมากเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะด้านของหลัวซือซือที่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเลื่อนขึ้นสู่อันดับของจอมยุทธ์ได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่แต่ละคนต่างแสดงความยินดีแก่กันและกันเรียบร้อยแล้ว จัวเซิงก็หัวเราะคิกคักออกมาแล้วเอ่ยถามว่า
“ฉู่เยว่เป็นคนแรกในกลุ่มพวกเราที่เลื่อนสู่อันดับงานประลองชิงอวิ๋นได้ แบบนี้อย่างใดก็ต้องฉลองกันเสียหน่อย! คืนวันนี้พวกเราไปรวมตัวกันที่เขาหมื่นเมรัยกัน พวกเจ้าว่าอย่างใด?”