ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1235 ลองไปเสียหน่อยก็ดี / ตอนที่ 1236 ขอโทษ
ตอนที่ 1235 ลองไปเสียหน่อยก็ดี / ตอนที่ 1236 ขอโทษ
ตอนที่ 1235 ลองไปเสียหน่อยก็ดี
ฉู่หลิวเยว่ใจหายวาบ
ใช่แล้ว วันนี้เข้าสู่ช่วงต้นเดือนแล้ว บนเขาหมื่นเมรัยจะครึกครื้นมากเป็นพิเศษแน่ๆ
“หรือว่าเจ้าไปไม่ได้?”
ขนงเรียวของหลัวซือซือขมวดมุ่น พลางเหลือบมองฉู่หลิวเยว่อย่างลังเล
ดูเหมือนว่าฉู่เยว่จะไม่ถูกจริตกับเขาหมื่นเมรัยเสียเท่าไร ทุกครั้งที่เขาขึ้นไปที่นั่น มักจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาเสมอ
ถ้าขึ้นไปแล้วเกิดเรื่องอีกคราจักทำอย่างใดดี?
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า
“จะลองขึ้นไปก็ไม่มีปัญหา ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องข้าเหมือนครั้งแรกแล้ว”
อย่างใดเสียนางก็ยังมีหรงซิวคอยหนุนหลังอยู่
“ฉู่เยว่ เจ้าอยากไปจริงๆ ใช่หรือไม่?”
หลัวซือซือยังคงเป็นกังวลไม่หาย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าสองที ก่อนจะตอบนางด้วยรอยยิ้ม
“ทุกคนไปที่นั่นได้ แล้วไยข้าจะไปไม่ได้? เจ้าวางใจเถอะ ข้าเองก็จักระวังตัว และข้า…ก็ไม่อยากถูกขังไว้บนเขาเฝิงหมินอีกแล้ว”
อย่างน้อยก็ช่วงนี้น่ะนะ
ก่อนจะออกมาจากที่นั่นสองสามวัน นางก็ถูกเทศนาย้ำเตือนไปแล้วคราหนึ่ง
ครั้นจะให้โผล่หน้ากลับไปอีก คงดูไม่เหมาะสมอย่างมาก
เว้นระยะสักช่วงหนึ่ง แล้วค่อยกลับไปจะดีกว่า
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ หลัวซือซือและคนอื่นๆ พลันรู้สึกโล่งใจกันยกใหญ่
“จริงสิ ฉู่เยว่ ตอนนี้เจ้าพักอยู่กับศิษย์พี่หรงซิว พวกข้ามิอาจขึ้นไปหาเจ้าบนเขาจิ่วเหิงได้ เช่นนั้นตอนเย็นพวกข้าจักรอเจ้าที่ด้านนอกดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
“ตกลงตามนั้น”
…
ฉู่หลิวเยว่กลับไปที่ภูเขาจิ่วเหิง ก่อนจะเห็นหรงซิวที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังจากระยะไกล
นางเหาะเหินไปหาเขาด้วยความว่องไว และร่อนลงตรงหน้าหรงซิว
มุมปากสวยเรียวบางของหรงซิวยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ยินดีด้วย”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วอย่างฉงนใจ
“สิ่งที่เกิดขึ้นบนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋น เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”
“จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้”
หรงซิวหัวเราะเบาๆ
“ถึงนั่นจะเป็นนามของเจ้า ทว่าพลังปราณภายในของเจ้าในตอนนี้ แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ข้าเพียงกดพลังปราณสายนั่นไว้เพื่อช่วยเจ้า แน่นอนว่าหากเจ้าทะลวงถึงขอบเขตพลังปราณเฉกเช่นในอดีตได้ ผลึกนั่นก็จะถูกเปิดออกเองตามธรรมชาติ”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาตาปริบๆ
“ขอบเขตพลังปราณในอดีตหรือ?
ในนิมิตความทรงจำของนาง แต่ไหนแต่ไรนางเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเก้า และไม่ได้ทะลวงขึ้นพลังปราณต่อแต่อย่างใด
แต่ในเมื่อติดอันดับหนึ่งถึงสองแขนงได้ เช่นนั้น…อย่างน้อยก็น่าจะถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพสิ
ทว่านางเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตนนั้นอยู่ระดับใด
หรงซิวเลิกคิ้วพลางกล่าวเชิงหยอกล้อ
“ถึงเวลาเจ้าจักรู้เอง”
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงเด็กเล็กที่ฟังดูเย็นชาระคนกระเง้ากระงอดดังมาจากภายในเรือน
“เข้ามาฝึกได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับกุมขมับ
เนื่องจากนางอาศัยอยู่ที่นี่กับหรงซิว จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนนาง ส่งผลให้การฝึกซ้อมของนางในทุกด้านสะดวกและเพิ่มพูนประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตู๋กูโม่เป่าเองก็ยิ่งเอาจริงเอาจังกว่าเดิม และมักจะจับตาดูนางฝึกซ้อมทุกครั้งที่มีโอกาส
“มาแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่ขานรับพลันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และสาวเท้าเข้าไปด้านใน
…
เมื่อฝึกฝนไปได้ช่วงหนึ่ง ความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่ได้ทวีคูณมากขึ้น
อย่างน้อยหลังจากเดินหมากไปได้ไม่กี่เก้า นางก็ไม่ถูกตู๋กูโม่เป่าบดขยี้เฉกเช่นเมื่อก่อน
แต่ในสายตาของตู๋กูโม่เป่าแล้ว ความแข็งแกร่งระดับนี้ยังถือว่าห่างชั้นนัก
ดังนั้นเกือบทุกครั้งที่เขาฝึกให้ฉู่หลิวเยว่ เขาจะอัดพลังปราณลงในกระดานหมากรุกมากขึ้นเรื่อยๆ
และสุดท้ายฉู่หลิวเยว่ก็จะถูกบดขยี้เช่นเดิม
เพียงแต่ข้อดีภายใต้การฝึกแปลกๆ เช่นนี้ก็คือ ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ชัดเจนว่า ความแข็งแกร่งในส่วนของปรมาจารย์ของนาง แทบจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดด!
และอยู่ห่างจากการเป็นปรมาจารย์ระดับเก้า เพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
…
ตกเย็น
ในที่สุด “การเรียนรู้” ของนางก็สิ้นสุดลง
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจยาวเหยียดขณะมองดูกระดานหมากรุกที่หายวับไปในอากาศ
นางเบนสายตามองสีสันของท้องฟ้าด้านนอก แล้วลุกขึ้นยืน
“พี่เป่า ก่อนหน้านี้ข้านัดกับพวกเขาว่าจะไปที่เขาหมื่นเมรัยด้วยกัน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน!”
ครานี้ตู๋กูโม่เป่าไม่ได้คัดค้าน เขาทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วพูดว่า
“ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อยก็ดี”
ตอนที่ 1236 ขอโทษ
เมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้า
ฉู่หลิวเยว่ก็ออกมาจากภูเขาจิ่วเหิ่ง และเห็นเงาของพวกหลัวซือซือจากระยะไกล
นางรีบรุดไปข้างหน้าเพื่อรวมกลุ่มกับพวกเขา
จัวเซิงเหลือบมองไปข้างหลังนางอย่างใคร่รู่ พลันจรดปลายนิ้วลงบนริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
“ฉู่เยว่ วันนี้เจ้ามีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นแล้ว ศิษย์พี่หรงซิวมิได้จัดงานฉลองให้เจ้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
“เจ้าอยากให้ข้าชวนเขาไปที่เขาหมื่นเมรัยด้วยกันหรือ?”
จัวเซิงที่โดนสหายอ่านใจออก พลันหัวเราะแก้เก้อ
“ข้าเพียงชื่นชมศิษย์พี่หรงซิวและอยากเห็นเขาตัวเป็นๆ มากกว่านี้! แต่ข้าเดาว่าเขาคงไม่สนใจเรื่องแบบนี้สักเท่าไร…”
และเขาก็ทำได้แค่พูด มิได้ต้องการให้ฉู่หลิวเยว่ไปรบกวนศิษย์พี่หรงซิวแต่อย่างใด
ส่งผลให้ฉู่หลิวเยว่นึกถึงใครบางคนที่กล่าวเตือนนาง มิให้ออกไปเล่นซนนานเกินควรในตอนที่นางกำลังจะออกมา พลันขบกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างอดไม่ได้
นอกจากหรงซิวจะไม่สนใจภูเขาหมื่นเมรัยแล้ว
แต่ยังคัดค้านไม่อยากให้นางไปที่นั่นด้วย
ทว่ายามเขาเห็นนางต้องการไปที่นั่นจริงๆ เขาก็เลิกรั้งนางและยอมปล่อยนางไปแต่โดยดี
“หากศิษย์พี่หรงซิวไปด้วย เกรงว่าทุกคนคงหมดสนุกเสียเปล่าๆ”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ
แม้แต่ยามเหล่าผู้อาวุโสของสำนักหลายคนพบเจอหรงซิว พวกเขายังแสดงท่าทีหวาดเกรงออกมา แล้วมีหรือที่ศิษย์ธรรมดาจักทนไหว?
หากเขาไปด้วย ผู้คนที่อยู่บนนั้นได้แตกตื่นกันยกใหญ่แน่ๆ
แค่นี้ยังต้องพูดอันใดอีก?
หลัวซือซือหลุดหัวเราะพรืดอย่างอดมิได้
“ถูกของเจ้า! หลายคนในสำนักคลั่งไคล้ศิษย์พี่หรงซิวเหลือคณา แต่พออยู่ต่อหน้าจริงๆ แล้ว แทบพูดไม่ออกสักคน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จัวเซิงก็ทำได้เพียงยักไหล่ด้วยความเสียดาย
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันแค่นี้แหละ!”
…
เมื่อเดินทางมาถึงภูเขาหมื่นเมรัย ก็เป็นเพลาที่ท้องนภาสีสวย ถูกกลืนกินด้วยราตรีกาลอันมืดมิดเสียแล้ว
ครั้นย้ำเท้าขึ้นเขาไปได้เพียงครึ่งทาง ก็พานพบกับแสงไฟเจิดจ้าจากคบเพลิง และแส้เสียงของผู้คนมากมาย จนทำให้สถานที่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ทันทีที่พวกของฉู่หลิวเยว่มาถึง ทุกสายตาพลันจดจ้องมองพวกเขาเป็นตาเดียว
ฝูงชนที่อยู่รอบๆ เงียบเสียงลงครู่หนึ่ง
ถึงฉู่หลิวเยว่จะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่วันนี้มันกลับแตกต่างออกไป
…เพียงเพราะนางมีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋น
ถวนจื่อมุดตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และนั่งยองๆ อยู่บนไหล่ของฉู่หลิวเยว่
เมื่อได้ยินเสียงกระแสน้ำไหลอยู่ด้านข้าง ดวงตาทั้งสองข้างของมันพลันทอประกายวาววับ วูบไหวไปมาอย่างตื่นเต้น
หากมิใช่เพราะมีคนอยู่เยอะ มันคงพุ่งตัวใส่ตาน้ำพุนั่นแล้ว
มันเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างเว้าวอน พลางใช้หัวกลมทุยๆ ถูไถแก้มของฉู่หลิวเยว่อย่างออดอ้อน เปิดเผยทุกความคิดของมันให้ผู้เป็นนายได้รู้
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่ามันอดทนรอไม่ไหวแล้ว ดังนั้นนางจึงยกเท้าขึ้นแล้วเดินขึ้นไป
เหล่าฝูงชนแหวกออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้นางแต่โดยดี
แม้ว่าการได้รับอันดับที่หนึ่งร้อยในการประลองแขนงเซียนหมอ จะมิใช่ผลงานที่ดีเลิศประเสริฐศรีนัก แต่ปัจจุบันจะมีใครในสำนักที่ไม่รู้บ้างว่า ฉู่เยว่ผู้นี้เพิ่งเข้าสำนักมาได้แค่สองเดือน?
และที่สำคัญคือ เขาอายุแค่สิบหกหนาวเท่านั้น!
แต่กลับเป็นเด็กอนาคตไกลเกินคาด!
และต่อให้ไม่นับเรื่องคนที่คอยหนุนหลังเขา ทว่าเพียงศักยภาพและอุปนิสัยของคนผู้นี้ ก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเกรงกลัวได้แล้ว
เมื่อฉู่หลิวเยว่มาถึงตาน้ำพุ ก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งครอบครองพื้นที่แห่งนี้ไว้ก่อนแล้ว
แถมยังเป็นเจ้าของใบหน้าอันคุ้นเคยอีกในหมู่พวกเขาด้วย
…หลิ่วอินถง
ทว่ายังไม่ทันที่ฝั่งฉู่หลิวเยว่จักได้เอื้อนเอ่ยอันใด หลิ่วอินถงกลับเป็นฝ่ายถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า
“เจ้ามาแล้วหรือฉู่เยว่? ข้าจองที่ไว้ให้เจ้าแล้ว เชิญเจ้าใช้ได้เลย!”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง พลันเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วอินถงอย่างหวาดระแวง
สีหน้าของหลิ่วอินถงในยามนี้ดูอึดอัดแลวิตกกังวล ต่างจากท่าทีหน้าใหญ่ใจกร่างเฉกเช่นเมื่อก่อนลิบลับ
ราวกับกลัวทำอันใดผิด และแอบพยายามเอาอกเอาใจนาง
แปลกเสียจริง…
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ
หลิ่วอินถงเป็นคนอารมณ์ร้อนและชอบการแข่งขันชิงดีชิงเด่นอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้น ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงโกรธที่ถวนจื่อเอาชนะกษายะหางวายุในปกครองได้ แล้วแค้นเคืองนางเช่นนั้นหรอกหรือ
แต่แล้วจู่ๆ เหตุใดอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้?
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่วขอรับ เดิมพันของข้ากับท่านในตอนนั้นเป็นอันจบสิ้นแล้ว จากนี้ไปข้าสามารถมาที่นี่เองได้แล้ว ไม่ต้องรบกวนท่านแล้วขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
เดิมพันสิ้นสุดลงแล้ว และหลิ่วอินถงก็ได้ทำให้ใครหลายคนขุ่นเคืองใจไม่น้อย สำหรับฉู่หลิวเยว่ แค่นี้ก็ถือว่าสาสมแล้ว
อย่างใดเสีย เวลาของนางก็มีค่ามาก จนไม่อยากเสียมันไปกับเรื่องแบบนี้มากเท่าใด
นางคิดว่าหลิ่วอินถงคงจะดีใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทว่านางกลับหน้าซีดลงกว่าเดิมเสียอีก
พลันก้าวเท้าฉับๆ เดินมาข้างหน้าราวไร้สติ แล้วถามด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลย! ก่อนหน้านี้ข้าทำผิดไปแล้ว ให้ข้าได้ขอโทษและไถ่โทษด้วยเถอะ มันคือสิ่งที่ข้าสมควรทำ! ศิษย์น้องฉู่เยว่มิต้องเกรงใจข้า! ระ หรือว่าเจ้ายังไม่หายโกรธข้า?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลกว่าเดิม
นี่มัน…
เกิดบ้าอันใดขึ้นกัน?
หลิ่วอินถงอยากทำต่อไปหรือ?
แต่ทำเช่นนี้นางจะมีแต่เสียหายมากกว่าได้ประโยชน์อีกนะ?
สำหรับคนทั่วไปแล้ว หากหนีจากความทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ? ใครมันจะมาอ้อนวอนขอทำต่อเช่นนี้กัน?
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ และพบว่าท่าทีของนางมิได้ปรุงแต่งขึ้นมาแต่อย่างใด และนั่นทำให้ฉู่หลิวเยว่ยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก
นางยิ้มเยาะเบาๆ
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่ว ข้าจะไปโกรธท่านได้อย่างใด? เรื่องนี้มันจบไปแล้วมิใช่หรือขอรับ?”
การเสียสุขภาพจิตไปกับเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่วิสัยของนาง
หลิ่วอินถงมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความกังวล
เขาเป็นคนหน้าตาดี สะอาดแลดูใส่ซื่อบริสูทธิ์ แววตาของเขาซื่อตรงแลชัดเจน มุมปากบางระบายยิ้มอ่อนโยน แลดูไร้พิษภัย
ราวกับ…ไม่ได้แค้นเคืองนางแล้วจริงๆ…
หลิ่วอินถงลอบหายใจด้วยความโล่งอก แต่อีกใจก็รู้สึกโหวงๆ เช่นกัน
ในเวลาเพียงแค่สองเดือน ดูเหมือนตัวตนของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเจอเด็กคนนี้ครั้งแรก นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองยอมก้มหัวโอนอ่อนให้เขาง่ายๆ เช่นนี้
“ก็ดี…เช่นนั้นก็ดี…”
นางพึมพำเสียงเบาราวทำตัวไม่ถูก
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ ที่ผ่านมาข้าหุนหันพลันแล่นเกินไป ทำให้เจ้าไม่พอใจข้าหลายครา หวังว่าเจ้า…จะไม่เก็บไปใส่ใจ หลังจากนี้ข้าสัญญาจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว! และหวังว่าศิษย์น้องฉู่เยว่ จักไม่ผูกใจเจ็บกับเรื่องในอดีต!”
มีแวบหนึ่งที่ฉู่หลิวเยว่อยากถามหลิ่วอินถงว่านางไม่สบาย หรือสมองกระทบกระเทือนตรงไหนหรือเปล่า
ไม่แปลกที่อีกฝ่ายอยากแก้ความคับข้องใจในอดีต อย่างใดเสียตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ก็มีจุดยืนในสำนักวิชาแล้ว
ไหนจะแรงสนับสนุนจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางอีก ทำให้นางกลายเป็นคู่ต่อสู้ผู้ทรงอิทธิพลอย่างแท้จริง
และทุกคนเองก็รู้ดีแก่ใจ
แต่หลิ่วอินถงไม่เห็นจะต้องกระเหี้ยนกระหือรืออยากเอาใจนางเช่นนี้เลย?
มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของนางด้วยซ้ำ
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่ว ว่ามาเถิดขอรับ ว่าท่านต้องการอันใด?”
ฉู่หลิวเยว่จ้องนางตาไม่กะพริบ พลางกล่าวถาม
หลิ่วอินถงรู้ทันทีว่านางถูกจับได้แล้ว
ขณะเดียวกันนางก็ตระหนักได้ว่าฉู่เยว่ฉลาด และมีไหวพริบมากกว่าที่นางเคยคิดไว้เสียอีก!
นางกำหมัดแน่นจนปลายเล็บจิกลงบนฝ่ามือ พลางลังเลอยู่นานพักใหญ่ ก่อนจะพูดว่า
“ไม่ ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่า ก่อนหน้านี้ข้าทำเกินไปหน่อย ดังนั้น…ถ้าหลังจากนี้ศิษย์น้องฉู่เยว่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ให้บอกข้าได้เลย!”
แต่ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะได้ตอบกลับ ก็พลันมีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
“ยามนี้ศิษย์น้องฉู่เยว่ได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสวั่นเจิงกับหรงซิวแล้ว เหตุใดจะต้องให้เจ้าช่วยด้วย? เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว”