ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1239 วิญญาณศาสตรา
ตอนที่ 1239 วิญญาณศาสตรา
ณ ภูเขาหมื่นเมรัย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผู้คนมากหน้าหลากตาเริ่มถยอยกลับที่พักของใครของมัน
หลัวเยี่ยนหมิงเงยหน้ามองดูสีสันของท้องนภา พลางกล่าวว่า
“ข้าเองก็ต้องไปแล้ว วันนี้ท่านอาจารย์เพิ่งมอบค่ายกลให้ข้ามาสองสามอัน และจะนัดสอบในอีกไม่กี่วัน ข้าต้องรีบกลับไปฝึกฝนแล้ว”
หลัวซือซือและคนอื่นๆ พยักหน้ารับรู้
แม้ว่าผู้อาวุโสจะใจดีและเป็นมิตร แต่ความจริงแล้วเขาเข้มงวดเรื่องการเรียนมาก
นอกจากนี้ เขายังมีศิษย์พี่ผู้โดดเด่นและปราดเปรื่องอย่างหลัวเยี่ยนหลินอีก น้องชายอย่างหลัวเยี่ยน
หมิงย่อมรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา
“จริงสิ ฉู่เยว่ ไว้รอเจ้าว่างเมื่อไร ข้าค่อยหาเวลาคุยเรื่องต่างๆ กับเจ้าแล้วกัน”
หลัวเยี่ยนหมิงหันไปมองฉู่หลิวเยว่พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะคิดได้ว่าคงเป็นเพราะผู้อาวุโสฮวาเฟิงไปพูดอันใดไว้แน่ๆ ทำให้หลัวเยี่ยนหมิงมีความคิดเช่นนี้
นางหัวเราะแล้วตอบกลับเสียงเบา
“ตกลง”
อันที่จริงแล้วช่วงนี้มีข่าวลือเรื่องที่ฉู่เยว่ทะลวงค่ายกลของสำนักวิชาออกมามากมาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือแบบใด ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉู่เยว่ต้องเป็นปรมาจารย์แน่ๆ
สองสามวันมานี้หลัวเยี่ยนหมิงได้ติดตามผู้อาวุโสฮวาเฟิงไปทุกที่ แน่นอนว่าเขาย่อมได้ยินข่าวลือเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง
ถึงผู้อาวุโสฮวาเฟิงจะไม่ได้อธิบายอันใดให้เขาฟัง แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าฉู่เยว่จะต้องมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์เป็นเลิศแน่นอน
มันทำให้หลัวเยี่ยนหมิงเริ่มสงสัย จนต้องชวนอีกฝ่ายมานั่งจับเข่าคุยเช่นนี้
และพอหลัวเยี่ยนหมิงเห็นว่านางตอบตกลงในทันที ก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!”
ครั้นพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับแล้วจากไปอย่างไว
จัวเซิงหันขวับไปมองฉู่หลิวเยว่อย่างอดไม่ได้ แล้วหัวเราะด้วยความประหลาดใจ
“สามารถทำให้คนอย่างเยี่ยนหมิงฮึกเหิมได้ขนาดนี้…ฉู่เยว่ เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลย! แสดงว่าระดับปรามาจารย์ของเจ้า ก็ไม่น่าต่ำใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ลูบปลายคางเชิงครุ่นคิด
“ข้าเองก็บอกไม่ถูก แต่ต้องขอบคุณที่ข้าได้อาจารย์ดี เลยทำให้ข้า…พอถูๆ ไถๆ ไปได้บ้าง”
จัวเซิงคิดว่าอาจารย์ที่นางพูดถึงคือหรงซิว และไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อให้มากความ
หลังจากนั้นไม่นาน จำนวนของผู้คนบนภูเขาเริ่มลดลงเรื่อยๆ
“พวกเราเองก็ไปกันเลยหรือไม่?”
หลัวซือซือเอ่ยทักท้วง พลันจ้องมองไปทางฉู่เยว่เป็นพิเศษ
นางไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อคราก่อนอีกแล้ว
จะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ไม่ได้
ไม่มีใครรู้ว่าหากฝ่าฝืนกฎอีกครั้ง พวกเขาจะถูกลงโทษแบบใด
โดยเฉพาะในสถาณกาณ์เช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแหยอย่างช่วยไม่ได้ นางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ พลันยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงยอมแพ้
“ขอรับๆ พวกเราจะไปกันตอนนี้เลย”
หลัวซือซือหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยามสบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มของชายหนุ่ม หัวใจของนางพลันสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ราวกับถูกบางอย่างกระแทกเข้ากลางใจอย่างแรง
ใบหน้าของนางเห่อร้อน ก่อนจะรีบก้มศีรษะลง
ฉู่หลิวเยว่ไม่เห็นสีหน้าของนาง พลางหันกลับไปตะโกนเรียกสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่กำลังเมามายไปกับเมรัย จนแทบไม่สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นนาย
“ถวนจื่อ ไปกันเถอะ!”
ถวนจื่อเงยหน้าขึ้นจากตาน้ำพุอย่างอาลัย
ถึงใจของมันจะอยากต่อต้านเสียงเรียกเพียงใด แต่ถวนจื่อก็ยังคงบังคับตัวเองให้บินกลับไปอยู่ดี
เฮ้อ ไม่รู้ว่าค่ำคืนที่แสนเปรมปรีดิ์เช่นนี้จะหวนกลับมาอีกเมื่อไร!
มันทำปากขมุบขมิบพลันหลับตาลง และเริ่มย่อยพลังปราณที่กลืนกินเข้าไปในวันนี้
ทว่าในขณะที่กำลังจะออกไปจากตรงนี้ จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงความผันผวน ที่พวยพุ่งออกมาจากในร่างของตน!
นางชะงักไปครู่หนึ่ง
เพราะคลื่นความผันผวนนี้มันแปลกเกินไป
นางหยุดฝีเท้า พลางจดจ่ออยู่กับคลื่นพลังปราณนั้นสักพัก
พลันมีพลังอีกสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา!
“นังหนู จิตวิญญาณของกระบี่หลงหยวน เกือบหลอมรวมเป็นหนึ่งกับตัวกระบี่แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย เจ้าต้องปลุกมันขึ้นมา!”
ทันใดนั้น เสียงขององค์ไท่จู่ก็ดังขึ้นในหูของนาง
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
“องค์ไท่จู่หรือ? ท่านหมายความว่าอย่างใด?”
องค์ไท่จู่เริ่มอธิบาย
“สิ่งนี้คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง ถึงมันจะเลือกเจ้าเป็นนาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะรับเจ้าเป็นนายอย่างสมบูรณ์ มีเพียงต้องใช้ทัณฑ์สวรรค์ปรับสมดุลของมันเท่านั้น ถึงจะทำให้วิญญาณและตัวกระบี่รวมเป็นหนึ่งได้ จงนำจิตวิญญาณของกระบี่หลงหยวนมาหลอมเป็นวิญญาณศาสตรา มันถึงจะยอมให้เจ้าเป็นผู้ควบคุมมันอย่างแท้จริง!”
ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปพักใหญ่
“ฉะนั้น ท่านหมายความว่า หากข้าต้องการใช้กระบี่เล่มนี้ ข้าจะต้อง…เรียกทัณฑ์สวรรค์ลงมา แล้วปรับสมดุลภายในของมันก่อนหรือ?”
ทว่าด้วยกำลังของนางในตอนนี้ เกรงว่าคงทำเช่นนั้นไม่ได้แน่นอน!
ราวกับเดาความคิดของนางได้ องค์ไท่จู่จึงเอ่ยเสริมว่า
“วางใจเถอะ มันก็เหมือนครั้งที่แล้วนั่นแหละ ข้าจะช่วยเรียกทัณฑ์สวรรค์ให้เจ้า พอถึงตอนนั้น เจ้าก็แค่ควบคุมกระบี่นั่น แล้วช่วยหล่อหลอมให้มันกลายเป็นวิญญาณศาสตราก็แค่นั้น! และเพราะเจ้าคือเจ้าของกระบี่หลงหยวน กระบี่เล่มนั้นจะฟังเจ้าเพียงผู้เดียว ฉะนั้นเรื่องนี้…มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้!”
“แต่ว่า…”
ฉู่หลิวเยว่ยังคงลังเล
การเรียกทัณฑ์สวรรค์ในสำนักวิชา จะดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้อาวุโสได้
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีกระบี่ของนางก็เป็นของผู้อาวุโสของสำนักวิชาแห่งนี้ด้วย…
“เมื่อวิญญาณของกระบี่เป็นวิญญาณศาสตรา ข้าถึงจะสามารถหลุดพ้นได้”
องค์ไท่จู่ถอนหายใจพรืด
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก
“อันใดนะ? องค์ไท่จู่ ท่านหมายถึง ท่านจะออกมาจากกระบี่ได้อย่างนั้นหรือ?”
แต่เขาเป็นเพียงจิตสำนึกที่เหลืออยู่ขององค์ไท่จู่ เมื่อกระบี่หลงหยวนยอมรับนางเป็นนายแล้ว มันควรจะหายไปมิใช่หรือ
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น!
องค์ไท่จู่ถูกจองจำอยู่ในกระบี่มาแต่ไหนแต่ไร และเกือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยคิดเลยว่า องค์ไท่จู่จะแอบหวังว่าสักวัน เขาจะหลุดพ้นจากมันได้!
องค์ไท่จู่ลอบถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ
“ก่อนหน้านี้ ข้าเองก็ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง แต่หลังจากที่กระบี่หลงหยวนยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว จิตวิญญาณของมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน และถ้าหลังจากวันนี้มันถูกหลอมจนกลายเป็นวิญญาณศาสตราแล้ว ก็จะยิ่งน่าทึ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งในจังหวะที่มันแปลงร่างเป็นวิญญาณศาสตรา ไม่แน่ว่า ข้าอาจจะแยกตัวออกจากมันได้!”
สำแสงเส้นหนึ่งแวบผ่านห้วงความคิดของฉู่หลิวเยว่
หัวใจของนางเต้นรำส่ำไม่เป็นจังหวะ
“องค์ไท่จู่…”
ริมฝีปากบางอ้าออกอย่างยากลำบาก พร้อมกับคำพูดไร้แก่นสาร ที่แม้แต่นางยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะพูดเช่นนั้น
“ท่าน…ยังมีชีวิตอยู่หรือ!?”