ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1240 บันทึกลึกลับ
ตอนที่ 1240 บันทึกลึกลับ
แน่นอนว่าวลี “มีชีวิตอยู่” นั้น ไม่ได้หมายถึงจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ แต่หมายถึงองค์ไท่จู่ตัวเป็นๆ ต่างหาก!
ไม่สิ ถ้าสามารถหนีออกมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์และใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ เช่นนั้นก็เรียกว่าจิตสำนึกที่เหลืออยู่ไม่ได้แล้ว
…มันคือจิตวิญญาณที่แท้จริงขององค์ไท่จู่!
คำถามของฉู่หลิวเยว่ทำให้องค์ไท่จู่ถึงกลับเงียบกริบ
ไม่นานหลังจากนั้น อค์ไท่จู่ก็ถอนหายใจยาวเหยียด
“ข้าเอง…ก็ไม่รู้…”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแลแหบพร่า ราวกับแก่ขึ้นมากในบัดดล
ไหนจะร่องรอยความสับสนระคนเหงาหงอยอันสั่งสมมานานนับพันปี ที่ส่งผ่านออกมาตามเสียงถอนหายใจนั่น
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หลิวเยว่ได้ยินองค์ไท่จู่พูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
ราวกับว่าเขา…ไม่รู้จริงๆ
“ข้าถูกจองจำอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งตามลำพังมาหลายพันปีแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าลืมมันไปหมดสิ้น รวมถึง…การตายของข้าในปีนั้นด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ
ในประวัติศาสตร์ที่ถูกปิดตายของราชวงศ์เทียนลิ่ง ได้บันทึกไว้ว่าในปีนั้นองค์ไท่จู่พยายามทะลวงขอบเขตพลังปราณของตน เพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เป็นผลให้ทั้งร่างกายแลจิตวิญญาณของเขาดับสลาย
หลังจากสิ้นใจ กระบี่หลงหยวนก็ถูกทิ้งไว้ในอาณาเขตเซียนเทพที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ของเขา แล้วหลอมรวมกับอนุภาคในนั้นจนกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์
และโดยธรรมชาติแล้ว หลังจากมิอาจทะลวงได้สำเร็จ จิตวิญญาณขององค์ไท่จู่ก็ควรจะหายไป
ฉู่หลิวเยว่เชื่อแบบนี้มาโดยตลอด เนื่องจากทุกสิ่งที่นางเคยได้ยินและเคยได้เห็นมาก่อน ล้วนสอดคล้องกับสิ่งนี้ทั้งสิ้น
และถึงกระบี่หลงหยวนจะจำนายของมันได้ตั้งแต่แรก แต่นางก็เคยสงสัยกับตัวเองว่า จิตวิญญาณขององค์ไท่จู่อาจจะไม่ได้หายไปไหน
ทว่าตอนนั้นนางไม่ได้คิดใส่ใจเรื่องนี้มากเท่าใด
กระทั่งยามนี้…
นี่องค์ไท่จู่สามารถออกมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ หรือ!?
ไหนจะประโยคที่เขาบอกว่าเขาลืมการตายของตัวเองในปีนั้นอีก?
ผู้แข็งแกร่งระดับสูงและทรงพลังเช่นนั้น จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้อย่างใด?
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!
“ฉู่เยว่ ฉู่เยว่?”
พวกของหลัวซือซือที่เดินออกไปก่อนหน้านี้ได้พักหนึ่ง พึ่งตระหนักได้ว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตามมา
พลันมองย้อนกลับไป และเห็นนางยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวด้วยท่าทีสับสนงุนงง
จัวเซิงตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง
“ฉู่เยว่!? เจ้ายืนบื้ออยู่ไย!? พวกเราต้องรีบไปกันแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่พลันได้สติคืนมาอีกครั้ง
“ข้ามาแล้ว”
นางขานรับขณะเดินไปหาสหายทั้งสองที่รออยู่
“เจ้าเป็นอันใดไปหรือ?”
จัวเซิงจ้องมองนางด้วยสายตาแปลกๆ
ครู่ก่อนยังดูปกติอยู่เลย ไฉนจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
“ฉู่เยว่ เจ้าไหวหรือเปล่า?” หลัวซือซือขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
ถึงสีหน้าของฉู่เยว่จะค่อนข้างสงบนิ่ง แต่ท่าทีมึนงงของเขาเช่นนี้ กลับเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากนัก
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงพร้อมระงับความวุ่นวายในใจไว้
“ไม่ต้องห่วง ข้าสบายดี เพียงแต่ครู่ก่อน จู่ๆ ข้าก็นึกถึงอันใดบางอย่างได้ และเอาแต่คิดถึงมันจนไม่ได้เดินตามพวกเจ้ามา”
“หือ เรื่องอันใดหรือ เหตุใดมันถึงทำให้เจ้าสนอกสนใจเช่นนี้?” จัวเซิงเริ่มสงสัยใคร่รู้อีกครา เจ้าตัวยกยิ้มมุมปากพลางถามอย่างมีเลศนัย
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงหรอก”
นางไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้
อย่างใดเสีย จัวเซิงเองก็มิใช่คนเซ้าซี้ เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่อยากพูดอันใดไปมากกว่านี้ เขาจึงมิได้ถามต่อ
“ไว้กลับไปแล้ว ค่อยคิดถึงมันอีกทีก็ยังไม่สาย! เรารีบออกไปกันก่อนเถอะ! ถ้าออกไปไม่ทัน พวกเราทั้งกลุ่มจบเห่แน่!”
หลัวซือซือขมวดคิ้วสงสัย แต่ไม่ได้ถามอันใด
จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็เดินลงเขาไปพร้อมกัน
…
ครั้งนี้พวกเขาออกมาจากที่นั่นได้ทันเวลา กระทั่งเดินลงเขาและออกมาจากค่ายกลแล้ว ถึงได้ยินเสียงลมกระโชกและฟ้าร้องครืนจากยอดเขา
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองทันควัน
แต่เพราะมีค่ายกลขวางกั้นอยู่ จึงทำให้นางมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้น
แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงทัณฑ์สวรรค์อันทรงพลังที่ฟาดผ่าลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
น่าเสียดายที่อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้…
นางถอนสายตาออกภาพตรงหน้า และหลังจากกล่าวคำอำลาพวกของหลัวซือซือแล้ว นางก็ปลีกตัวจากไปอย่างเงียบเชียบ
…
กว่าจะกลับมาถึงภูเขาจิ่วเหิง ก็ดึกดื่นมืดค่ำเสียแล้ว
ทว่าคบเพลิงในห้องของหรงซิวยังคงสว่างไสว
ร่างสูงโปร่งเดินไปยังประตูบานใหญ่ แล้วเปิดมันออก
“กลับมาแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นในใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหรงซิวรอนาง หรือสาเหตุอื่น
แต่มีแวบหนึ่งที่นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความอบอุ่นอันแสนหวานเหล่านั้น พวยพุ่งขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ และไหลพล่านแผ่กระจายไปยังแขนขาแล้วโอบอุ้มกายาของนางไว้
นางพยักหน้าตอบเขา
“เจ้ารอข้าอยู่ตลอดเลยหรือ?”
หรงซิวระบายยิ้มบางเบาอย่างผ่อนคลาย
“ทั้งใช่และไม่ใช่ แต่ตอนนี้ข้าเจอบางอย่างที่น่าสนใจด้วย”
สิ่งที่ทำให้หรงซิวสนอกสนใจได้ ย่อมไม่ใช่วัตถุธรรมดา
ฉู่หลิวเยว่เริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง
“มันคืออันใดหรือ?”
หรงซิวก้าวเท้ามาแล้วเอื้อมมือมาจับมือของนาง
“ตามข้ามา”
ฝ่ามือที่อบอุ่นนั้นกอบกุมมือเย็นๆ ของนางไว้
กลิ่นหอมเย็นสบายอันคุ้นเคยห้อมล้อมและอบอวลไปทั่วกายบาง ส่งผลให้นางรู้สึกสบายใจมากขึ้น กล้ามเนื้อทั่วทั้งกายาผ่อนคลายลงราวคล้อยตามกลิ่นอายนั้น
นางเดินตามหรงซิวเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง
หลังจากเข้ามาแล้ว หรงซิวก็พานางไปที่โต๊ะทำงาน
ฉู่หลิวเยว่เห็นตำราเล่มหนึ่งวางอยู่บนนั้น
หน้าปกตำรามีสีเหลืองหม่นๆ ราวกับเป็นตำราโบราณเก่าแก่
“ที่เจ้าพูดคือ หมายถึงเจ้านี่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองหรงซิวด้วยสายตาฉงนระคนแปลกใจ
หรงซิวเชิดปลายคางขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“เจ้าลองอ่านเสียก่อน”
จากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็หยิบตำราดังกล่าวขึ้นมา
แต่แค่หยิบมันขึ้นมา นางก็ถึงกับตกอกตกใจ เมื่อพบว่าตำราเล่มบางเก่าๆ โทรมๆ นี่ แท้จริงแล้วหนักมาก!
หากก่อนหน้านี้นางไม่ได้ฝึกฝนจนมีศักยภาพที่แข็งแกร่งพอล่ะก็ นางคงหยิบมันขึ้นมาไม่ได้แน่นอน
“นี่คืออันใด…”
สุ้มเสียงของฉู่หลิวเยว่พลันหยุดชะงัก ครั้นเหลือบไปเห็นหน้าปกของตำรา
มีรูปภาพบางอย่างอยู่บนนั้น!
มันคือรูปกระบี่ที่ถูกวาดอย่างประณีต
ทั้งเรียบหรู น่าเกรงขาม องค์อาจและสง่างาม!
เส้นเหล่านั้นดูคบกริบราวจะเจาะทะลุไปถึงด้านหลังของหน้าปก ประหนึ่งเต็มไปด้วยมวลพลังปราณมหาศาล!
แค่มองดูเฉยๆ ก็รู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว!
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด!
เพราะประเด็นหลักก็คือ…
ภาพวาดกระบี่ภาพนี้ ดูเหมือนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่นางเพิ่งได้รับมาก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย!