ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1241 กระบี่ชื่อเซียว
ตอนที่ 1241 กระบี่ชื่อเซียว
“นี่มัน…”
ร่างโปร่งบางหยุดชะงักพลันเบนสายตาไปมองหรงซิว
“เจ้านี่น่าจะเป็นบันทึกที่ผู้อาวุโสท่านนั้นทิ้งไว้เมื่อครานั้น”
หรงซิวยิ้มตอบ
“กว่าจะหามันเจอนั้นลำบากแทบแย่”
แม้คำพูดเหล่านี้จะดูเหมือนเรื่องตลกขบขัน แต่ฉู่หลิวเยว่กลับเข้าใจดีว่า กว่าจะหาตำราเล่มนี้เจอนั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด!
ในสำนักวิชามีตำราอยู่หลายสิบล้านเล่ม กว่าจะหาตำราเล่มหนึ่งท่ามกลางกองตำราที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ราวมหาสมุทรเจอนั้น จักต้องใช้พลังกายและสมาธิมากมายขนาดไหน แค่นึกก็เหนื่อยแทนแล้ว
อีกอย่าง ทางสำนักวิชาเองก็ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อช่วงชิงอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี่มา ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมันจึงต้องถูกเก็บรักษาไว้อย่างเคร่งครัด
แต่หรงซิวกลับสามารถนำเจ้าสิ่งนี้มาได้…
ฉู่หลิวเยว่ถือตำราเล่มนั้นไว้ พลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้ากระดาษที่ค่อนข้างหยาบและหนาไปมา
พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่พวยพุ่งขึ้นมาในใจ
“เจ้าสิ่งนี้…ทางสำนักมิน่าปล่อยให้เล็ดลอดออกมาง่ายๆ มิใช่หรือ? แล้วเจ้า…ไปเอามันมาได้อย่างใด?”
“หากไร้ซึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้น บันทึกเล่มนี้ก็ไร้ความหมาย เมื่อคิดทบทวนแล้ว หากบันทึกนี้อยู่กับเจ้า มันถึงจะกลายเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าจริงๆ ถ้าพวกเขาไม่ยอมยกมันให้เจ้า และทิ้งมันไว้บนชั้นเก็บของเช่นนั้น ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ดังนั้น ข้าถึงเอามันมาได้ง่ายๆ”
ถึงหรงซิวจะพูดเหมือนง่าย แต่ฉู่หลิวเยว่รู้ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น
แต่ชัดเจนว่าหรงซิวไม่อยากเล่ารายละเอียดแบบเจาะลึกให้นางฟังสักเท่าไร หากนางดึงดันจะถามต่อ ก็ไม่ได้คำตอบอันใดกลับมาอยู่ดี
“ก่อนหน้านี้ข้าสัญญากับเจ้าแล้ว ว่าจะนำตำราเล่มนี้มาให้ ข้าไม่ผิดสัญญาแน่นอน”
หรงซิวกล่าวพลางใช้มือประคองดวงหน้าของนางไว้อย่างเบามือ แล้วจรดริมฝีปากลงตรงหว่างคิ้วของนาง
ลมหายใจอุ่นๆ แผ่กระจายไปทั่วใบหน้างาม ราวสามารถทำให้ดวงใจของสตรีร้อนรุ่มขึ้นมาได้อย่างใดอย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา
“หรงซิว”
ริมฝีปากสีแดงเรื่อเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา เดิมทีนางอยากจะพูดอันใดบางอย่าง แต่หลังจากคิดทบทวนแล้ว แค่คำพูดคงจะไม่พอ
บุรุษผู้นี้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างนางเสมอ และมอบทุกสิ่งที่นางต้องการให้นาง
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ เกรงว่าใต้หล้านี้อาจจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้
แต่เขาทำได้
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยโอ้อวดเลยว่าเขาเก่งกาจมากเพียงใด ราวกับปล่อยให้เรื่องทั้งหมดเป็นไปตามเหตุและผลของมัน
ในโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ มันยากมากที่จะหาสามีเช่นนี้ได้
นางยื่นมือออกมาจับคอเสื้อของหรงซิวแล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง
หรงซิวโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยความร่วมมือ
ฉู่หลิวเยว่จุมพิตลงบนริมฝีปากของเขา
จูบนี้ช่างนุ่มนวลและอ่อนหวานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็ผละออกจากกัน
หรงซิววาดแขนกอดนางไว้แน่นในอ้อมอก พลางวางคางไว้บนลาดไหล่บาง พร้อมเอ่ยแหบพร่า
“นี่คือรางวัลหรือ?”
น้ำเสียงของเขาแฝงได้ด้วยความลุ่มหลงระคนคลั่งไคล้ มันดังสะท้อนเข้าไปในหูของนาง และแทบจะเข้าไปถึงส่วนลึกในจิตใจของคนฟังที่กำลังสั่นสะท้านไปทั้งดวงใจ
“ไม่ใช่”
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลง
“มันคือรัก”
…
ในที่สุด ฉู่หลิวเยว่ก็กลับมาที่ห้องของตน
เขาว่ากันว่า หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น อาจเกิดเหตุการณ์ที่มิอาจควบคุมขึ้นได้
ดังนั้น ฉู่หลิวเยว่จึงกลับมาที่ห้องแต่โดยดี
เวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด
และได้ยินเพียงเสียงลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านป่าเขาพงไพรเป็นครั้งคราว แต่ยิ่งฟังกลับยิ่งรู้สึกเหงา
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิและถือบันทึกเล่มนั้นไว้ในมือ
จนถึงตอนนี้ แรงกดดันอันน่าสะพรึงที่แผ่ออกมา ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองภาพบนปกอย่างระมัดระวัง
มันคือกระบี่หนึ่งเล่ม
บนฝักถูกสลักด้วยลวดลายสีทองแปลกๆ ที่ดูลึกลับและน่ายำเกรง
ด้ามดาบถูกแกะสลักเป็นรูปหัวมังกร ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีฟ้าครามปนสีทอง ดวงตาของมันลึกล้ำราวกับหลุมดำอันไร้จุดจบ
แค่มองก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกดูดเข้าไปในนั้น!
เหนือขึ้นไปบริเวณด้ามจับ ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นปล้องกลมๆ แลดูเหมาะมือและบริสุทธิ์ ทั่วทั้งด้ามจับเป็นสีดำสนิท และมีพู่ห้อยอยู่ตรงปลายด้าม
“ที่แท้กระบี่เล่มนี้ก็เกี่ยวข้องกับเผ่ามังกรนี่เอง…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำเบาๆ
หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จิตวิญญาณภายในกระบี่หลงหยวน จะสามารถหลอมรวมเข้ากับมันได้อย่างราบรื่น
แต่เพราะภายในนั้นมีแรงสนับสนุนจากองค์ไท่จู่ด้วย มันถึงได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
แต่จู่ๆ นางก็ฉุกคิดอันใดขึ้นได้
พลันมีแสงสว่างส่องวาบตรงหน้านาง!
ครู่ต่อมา กระบี่เล่มยาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง!
มันลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ หากแต่แรงข่มอันน่าสะพรึงกลัวของมัน กำลังทำให้ห้วงมิติในชั้น
อากาศที่อยู่รอบๆ บิดเบี้ยวจนน่าหวาดหวั่น!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน!
ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังกระบี่เล่มยาวตรงหน้า
ลักษณะของมันดูเหมือนกระบี่ที่อยู่บนปกบันทึกเล่มนี้ทุกประการ!
อย่างใดก็ตาม เนื่องจากตำราเล่มนี้เป็นตำราเก่าแก่ และถึงจะได้รับการเก็บรักษาอย่างดีเพียงใด แต่ก็ยังดูเก่าและมีสีเหลืองหม่นๆ ที่บ่งบอกถึงอายุของมัน
ทำให้ตำราทั้งเล่มดูราวถูกปกคลุมไปด้วยชั้นผ้าสีเหลืองหม่น
และยามที่กระบี่เล่มนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้า นางก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันกว้างใหญ่ของลมปราณที่ทรงพลังไร้เทียมทาน เสมือนมาจากมิติเวลาอันไร้จุดจบและห้วงอวกาศอันไกลโพ้นได้อย่างชัดเจน!
ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่เปิดบันทึก
พลันมีตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีดำปรากฏบนหน้ากระดาษของปกรอง
…กระบี่ชื่อเซียว!
…
ฉู่หลิวเยว่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราทั้งเล่มอย่างละเอียด
หลังจากอ่านหน้าสุดท้าย นางก็ปิดมันแล้วหลับตาลง ก่อนจะถอนหายใจออกเฮือกใหญ่
กลายเป็นว่า…
เจ้าของกระบี่เล่มนี้ ก็คือผู้ที่หล่อหลอมมันขึ้นมาอย่างผู้อาวุโสฟ่านเป่ย
ตอนแรกผู้อาวุโสฟ่านเป่ยได้รับชิ้นส่วนอันล้ำค่าของกระบี่มา และตัดสินใจหลอมมันให้กลายเป็นกระบี่ที่ไร้เทียบทาน
และเพื่อที่จะหลอมกระบี่เล่มนี้ เขาจึงเดินทางไปยังแอ่งบุหรงมรกต และใช้เวลาหลอมกระบี่อยู่ที่นั่นร่วมสามเดือน ทุกวันเขาจะเรียกทัณฑ์สวรรค์ลงมาแล้วหลอมมัน!
ทว่าน่าเสียดายที่การหลอมกระบี่ในช่วงสามเดือนนี้ ทำให้เขาสูญเสียความแข็งแกร่งและมวลโลหิตไปมาก
เมื่อกระบี่ชื่อเซียวเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว
สุดท้ายเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาคงจะเหลือเวลาอีกไม่มาก เขาจึงอัดพลังปราณทั้งหมดที่มีใส่ลงไปในกระบี่ชื่อเซียว
เขาหล่อหลอมมันด้วยชีวิต เสมือนย้ายจิตวิญญาณสู่ภพภูมิใหม่ แล้วก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์!
สุดท้ายเขาก็หลอมมันได้สำเร็จ และเขาก็ตาย!
และกระบี่ชื่อเซียวก็หล่นลงไปในเหวลึกของแอ่งบุหรงมรกตพร้อมกันกับเขา
กระบี่เล่มนั้นถูกฝังลึกอยู่ใต้เหวนานนับหลายพันปี และไม่เคยมีโอกาสได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เกิดความโกลาหลขึ้นที่แอ่งบุหรงมรกต จนผู้อาวุโสของสำนักหลิงเซียวตระหนักได้ว่า กระบี่ชื่อเซียวกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครา!
ในความจริงแล้ว มีหลายคนที่รู้ว่ามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ในแอ่งบุหรงมรกต
มิฉะนั้น สำนักวิชาต่างๆ เช่นปีกสุวรรณ คงไม่ส่งเหล่าสาวกมาต่อสู้แย่งชิงมันหรอก
นอกพรมแดนต่างลือกันว่ามันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชา
แต่จริงๆ แล้ว มันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ[1]ต่างหาก!
แต่โชคดีที่สุดท้ายสำนักของนางก็ชิงมันคืนมาได้ และเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องระดับที่แท้จริงของอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้
ไม่เช่นนั้นคงจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน
ตำราเล่มนี้ถูกจำบันทึกไว้เมื่อตอนที่ผู้อาวุโสฟ่านเป่ยกำลังหลอมกระบี่ชื่อเซียว แต่ยังเขียนไม่จบ
เนื้อหาด้านในประกอบด้วยขั้นตอนการหลอมกระบี่ชื่อเซียวทุกขั้นตอน และยังบันทึกความในใจบางส่วนของผู้อาวุโสป่านเป่ยไว้ด้วย
แต่อย่างใดเสีย หลังจากที่หลอมกระบี่เสร็จ ผู้อาวุโสฟ่านเป่ยก็เสียชีวิตทันที ดังนั้นจึงมิได้เขียนวิธีการใช้งานของมันไว้
ฉู่หลิวเยว่ทำได้แค่สำรวจและค้นคว้าจากบันทึกก่อนหน้านี้เท่านั้น
แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ฉลาดมาก ขอเพียงแค่ควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ ก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้ว
ฉู่หลิวเยว่วางตำราลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองกระบี่ชื่อเซียวที่ลอยอยู่ตรงหน้า
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยื่นมืออกไปคว้ามัน!
[1] จุนเจ๋อภาษาไทย คือ พระผู้มีสมณศักดิ์สูง หรือเทียบได้กับสมเด็จพระสังฆราช