ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1250 ลวงสวรรค์ข้ามสมุทร
ตอนที่ 1250 ลวงสวรรค์ข้ามสมุทร
ในเมื่อถามไถ่คนสองผู้นี้ไม่ได้ความ ผู้อาวุโสโอวหยางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียเดี๋ยวนั้น
“ซั่งอวี้เซิน! ครานี้เจ้าต้องการอันใดอีก!”
หรงซิวพาฉู่เยว่ก่อกวนสร้างเรื่องไปทั่ว ตัวเขามีฐานะสูงถึงเพียงไหน แล้วยังจะมีจิตคิดช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญตามกันไปเช่นนี้อีกหรือ!?
ทว่าซั่งอวี้เซินก็มิได้เกรงกลัวผู้อาวุโสโอวหยางแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากอดอกขึงขังพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า
“เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือ? ช่วยเขาสิ! ไม่เห็นหรือไรว่าในมือเขาถือสิ่งใดไว้?”
กระบี่ชื่อเซียว ของที่เขาเฝ้าถวิลหามาหลายปีดีดัก จะอย่างใดก็ไม่ได้ยลเสียที
บัดนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสได้เห็น ทว่าบัดนี้มันกลับรับฉู่เยว่เป็นเจ้านายเสียแล้ว
เขาย่อมไม่ยินดีปรีดา แน่นอนว่าไร้ซึ่งอารมณ์พออกพอใจด้วย!
ทว่านั่นจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า?
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับนั้นย่อมไม่ก้มหัวยอมรับผู้ใดเป็นเจ้านายง่ายๆ
ต่อให้เป็นเขาที่เฝ้าใฝ่ฝันถึงมันมาหลายปี ก็ยังมิกล้าโลภโมโทสันในตัวมันแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่พ้นเรื่องรอให้กระบี่ชื่อเซียวเผยเบาะแส หลังกระบี่ถูกนำกลับมาสำนักแล้ว เขาจะได้ฉวยเอาโอกาสนี้เข้าไปศึกษาเรียนรู้จากมันอย่างใกล้ชิดสักที
บัดนี้มันกลับตาลปัตรกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของฉู่เยว่เสียอย่างนั้น นอกจาก ‘โชคชะตา’ สองคำนี้ก็ไม่มีคำใดที่ใช้อธิบายได้ชัดเจนเท่านี้แล้ว
ฉู่เยว่คิดจะชุบหลอมวิญญาณศาสตราขึ้นมาใหม่ก็เพื่อเขา จะให้เขาคอยยืนมองตาปริบๆ ทำเป็นไม่สนใจได้หรือ?
อย่างใดเสียก็เฝ้าถวิลหามาหลายปี ในใจก็ยังคงมีจิตคิดถึงอยู่
ต่อให้ไม่ทำเพื่อฉู่เยว่ แค่ทำเพื่อกระบี่ชื่อเซียวเล่มนี้เท่านั้น เขาเองก็ต้องลงมืออยู่ดี!
…
ผู้อาวุโสโอวหยางรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูท่าจะกู่ไม่กลับเสียแล้ว
เขาหลับตาลง รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเสียจนต้องยกมือคลึงหน้าผาก
ไม่ว่าผู้ใดก็ขจัดความยุ่งยากใจข้อนี้ไปไม่ได้ทั้งนั้นจริงๆ!
ทว่ามีแค่คนกลุ่มนี้เท่านั้นที่ล้วนแต่คารมคมคาย กว่าเขาจะหาข้อโต้เถียงกลับไปได้ก็ลำบากยากเย็นหาสิ่งใดเปรียบไม่น้อยเลยเทียว
“โอวหยาง ท่านมาถามแบบนั้นเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว!“
ซั่งอวี้เซินลูบคางของตนไปมา
“เช่นนั้นจะบอกว่าเมื่อครู่ท่านเองก็ไม่มีส่วนร่วมด้วยอย่างนั้นสิ?”
ผู้อาวุโสโอวหยาง “…”
หากมิใช่เพราะการยุแหย่ของซั่งอวี้เซิน เขาจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาอย่างนั้นหรือ!?
แต่ก็ต้องโทษตัวเขาเองด้วยที่ตอนนั้นสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วยแบบนั้น!
“เฮอะ เจ้าจะบอกว่าตอนนี้พวกเราต้องมาล่มหัวจมท้ายด้วยแล้วอย่างนั้นสิ?”
ซั่งอวี้เซินมองเขาอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่ง พลางแสดงสีหน้าที่แปลได้ว่า ‘เจ้ากำลังพูดเรื่องโง่เง่าอันใดออกมากัน’ ออกมาให้เห็น
หว่างคิ้วของผู้อาวุโสโอวหยางกระตุกอย่างแรง
เขาพลันรู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าการที่ตนคิดอยากจะติดต่อแลกเปลี่ยนกับพวกเขาเป็นเรื่องผิดพลาดมหันต์ยิ่ง
เจ้าซั่งอวี้เซิน…จากสำนักไปหลายปี พอกลับมาก็ปิดด่านเก็บตัวฝึกวิชา แต่ไหนแต่ไรก็มักจะทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย ยึดถืออารมณ์ตนเองในการทำสิ่งต่างๆ เสียเป็นหลัก
หรงซิว…หนึ่งในอัจฉริยะผู้ที่โดดเด่นที่สุดของสำนัก ครองตำแหน่งสูงส่งในสำนัก อภิสิทธิ์ที่มีอยู่ในมือเมื่อเทียบกันแล้วเรียกได้ว่ามากกว่าผู้อาวุโสบางท่านอยู่อักโข
ส่วนฉู่เยว่…
เจ้าคนผู้นี้ไม่มีเรื่องดีใดให้พูดถึง เป็นเจ้าเด็กหน้าเหม็นที่กล้าบ้าบิ่นคนหนึ่ง!
ทั้งยังสอนยากสอนเย็น ชอบละเมิดกฎครั้งแล้วครั้งเล่าอีกต่างหาก!
ผู้อาวุโสโอวหยางสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์ของตนให้เย็นลงอย่างสุดความสามารถ
“ซั่งอวี้เซิน ไม่ช้าก็เร็วปั๋วเหยี่ยนย่อมรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเย็นวันนี้แน่”
ซั่งอวี้เซินพยักหน้าหงึกหงัก
“แน่นอนว่าเขาย่อมต้องได้รู้”
ค่ายกลที่ถูกวางอยู่ตรงตีนเขาหมื่นเมรัยลูกนี้และวงแหวนค่ายกลที่กางครอบไว้โดยรอบก็เป็นเพียงแค่พลังส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น
“แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เรื่องที่กระบี่ชื่อเซียวอยู่ในครอบครองของฉู่เยว่ เขาย่อมรู้ได้อยู่แล้ว การชุบหลอมวิญญาณศาสตรา…ยังนับว่าเป็นเรื่องผิดพลาดได้อยู่อีกหรือ? หากของสิ่งนี้ตกอยู่ในมือของเขา ข้าเองก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน”
ซั่งอวี้เซินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก ดวงหน้าพลันฉายแววเสียดายออกมา
“น่าเสียดายนักที่ข้าอับโชคในเรื่องนี้”
พูดพลาง เขาก็เบนสายตามองไปทางฉู่หลิวเยว่อีกรอบหนึ่ง
“ครั้งนี้ที่ข้ามาช่วยเจ้าในวันนี้ วันหน้ากระบี่ชื่อเซียวเล่มนั้นขอข้ายืมไปสักวัน ว่าอย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่เองก็รับรู้ได้รางๆ ว่าเขาสนใจในกระบี่ชื่อเซียวมาหลายปีนัก จึงผงกศีรษะรับอย่างตรงไปตรงมาว่า
“บุญคุณของผู้อาวุโส ฉู่เยว่ย่อมต้องตอบแทนเป็นร้อยเป็นพันเท่า หากท่านต้องการเมื่อใด ขอเพียงเอ่ยปากข้าย่อมมอบของให้ทันที”
อย่างใดเสียกระบี่ชื่อเซียวก็กลายเป็นของนางโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถใช้กำลังแย่งชิงเอามันไปจากนางได้ทั้งนั้น ฉะนั้นเองก็ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง
ซั่งอวี้เซินเห็นนางตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็พลันรู้สึกชื่นชมนางขึ้นมาหลายส่วน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ดี! เอาตามที่เจ้าว่านั่นละ วันนี้ช่วยเจ้าไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ!”
พูดพลาง ในจังหวะนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป คิดจะตบบ่าฉู่หลิวเยว่สักทีสองทีด้วยความตื่นเต้น
หรงซิวพลันสาวเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาด้านหน้าโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง แล้วยืนคั่นกลางระหว่างคนทั้งสองเอาไว้ ก่อนจะปัดฝ่ามือใหญ่ราวกับพัดใบตาลของซั่งอวี้เซินออกไปให้พ้นระยะ
“ท่านผู้อาวุโสโอวหยาง แท้จริงแล้ววันนี้เป็นข้าที่พาศิษย์น้องฉู่เยว่มา เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะข้า ดังนั้นแล้ว ข้าขอเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเองขอรับ”
“หรงซิวเอ๊ย เจ้า…”
ผู้อาวุโสโอวหยางรู้แต่แรกแล้วว่าหรงซิวจะออกตัวมารับแทน ทว่ายามที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้จริงๆ ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดหรงซิวถึงได้ปกป้องฉู่เยว่เช่นนี้?
ทว่าจะไม่พูดก็ไม่ได้ เพราะหรงซิวช่วยออกหน้ารับให้ เรื่องนี้ถึงยังไม่หนักหนาไปถึงจุดนั้น
เขามองหรงซิวด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ
“หลายปีมานี้เจ้าไม่เคยคิดเหยียบย่างที่นี่มาก่อน คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ครั้งนี้จะ…”
พูดได้ครึ่งประโยคเขาก็พลันหยุดชะงัก ราวกับว่ามีคำพูดบางอย่างติดปากทว่าพูดไม่ออก
สีหน้าของหรงซิวยังคงมิแปรเปลี่ยน เขาฉีกยิ้มบางเบา
“ยังมีวันหน้าให้ท่านได้เอ่ยขอบคุณเรื่องของวันนี้อยู่นะขอรับ”
ผู้อาวุโสโอวหยางหายโมโหแล้วโดยสิ้นเชิง
เขามองไปรอบๆ กายรอบหนึ่ง หว่างคิ้วพลางขมวดเข้าหากัน
บนยอดเขาแห่งนี้มีสภาพเละเทะไม่น่าดูไปเสียแล้ว
ต้นไม้สูงใหญ่ในป่าจำนวนมากต่างล้มระเนระนาด หินภูเขาที่ถูกทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าลงมาจึงมีรอยไหม้สีดำขนาดใหญ่เปรอะอยู่นับไม่ถ้วน มีบางก้อนที่เกิดรอยแตกเป็นร่องลึก
ให้ผู้ใดมาดูก็เดาได้ไม่ยากว่าที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“ดูเหมือนว่าเขาหมื่นเมรัยคงต้องปิดไม่ให้เข้าสักพักใหญ่”
สภาพเช่นนี้คงต้องเสียพลังกายไปไม่น้อยกว่าจะสร้างและซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ได้
บนผืนฟ้ากว้าง กลุ่มเมฆดำค่อยๆ สลายตัวหายไป
ในตอนนี้ก็ได้เวลารุ่งสางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอบฟ้าจึงปรากฏเส้นสีขาวสว่างจางๆ ขึ้นมา
ดูท่าแล้ว อีกไม่นานฟ้าก็คงจะสว่างเต็มที่
“ไปกันเถอะ! ไปหาปั๋วเหยี่ยนด้วยกัน!”
ผู้อาวุโสโอวหยางพ่นลมหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะขอตัวจากไปคนแรก
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองตาน้ำพุ ถวนจื่อเองยังคงอยู่ข้างในนั้น
นางอ้าปากเตรียมจะส่งเสียงตะโกนออกมา ทว่าในสมองกลับมีความคิดหนึ่งแล่นผ่านขึ้นมาทันใด
“เจ้าหนู มัวมองอันใดอยู่? ยังไม่รีบตามมาอีก!”
ผู้อาวุโสโอวหยางที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยเร่ง
ฉู่หลิวเยว่จึงเบนครรลองสายตากลับมา
“มาแล้วขอรับ”
ร่างของนางขยับเคลื่อนไหว ก่อนจะจากไปในทางเดียวกันโดยมิได้หันศีรษะกลับมามองอีก
ท่ามกลางตาน้ำพุบนยอดเขา กระแสคลื่นสายหนึ่งพลันพุ่งผ่านมา ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว