ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1251 เจ้าไปอีกแล้ว
ตอนที่ 1251 เจ้าไปอีกแล้ว
ณ หอระฆังบูรพกษัตริย์
ภายในห้องโถงใหญ่โอ่อ่าเงียบสงบ บรรยากาศภายในตอนนี้ประหนึ่งว่าถูกแช่แข็งไว้ก็มิปาน
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งแขก สีหน้ามิได้แสดงอารมณ์ออกมา มีเพียงการกำมือเข้าหากันหลวมๆ ที่แสดงถึงอารมณ์ของเขาในตอนนี้ที่ย่อมไม่ได้นิ่งสงบเหมือนฉากหน้าที่แสดงออกมา
คนทั้งสี่ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาคือผู้ที่เพิ่งกลับมาจากเขาหมื่นเมรัยด้วยกันทั้งสิ้น
“…เรื่องราวคร่าวๆ ทั้งหมดก็ประมาณนี้”
ผู้อาวุโสโอวหยางบอกเล่าถึงความเป็นไปของเรื่องจบไปรอบหนึ่ง กว่าจะจบก็ทำเอาคอแหบคอแห้งเสียยกใหญ่
หลังจากที่พูดจบ ห้องโถงใหญ่ก็ตกลงสู่ความเงียบสงัดอีกครา
ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นมาว่า
“ฉะนั้นแล้ว ที่พวกเจ้ารีบรุดมากันแต่เช้าตรู่ก็เพราะว่า…พวกเจ้าทั้งสี่ทำลายเขาหมื่นเมรัยเสียหายไปครึ่งลูก?”
ซั่งอวี้เซินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนสติขึ้นมาว่า
“จุดประสงค์หลักก็เพื่อช่วยฉู่เยว่ชุบหลอมวิญญาณศาสตราของกระบี่ชื่อเซียวให้กลับมา…วิญญาณศาสตรา…เฮ้อ ก็แค่ทำลายป่ากับทุบหินภูเขาไปนิดหน่อย ตา…ตาน้ำพุนั่นก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือไง!”
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา กระทั่งคำพูดก่อนหน้าเองก็แผ่วเบาลงไปมากหลังจากถูกสายตาเคร่งขรึมดุดันของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจ้องเขม็งไม่วางตา
ผู้ที่รู้จักผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนดีล้วนรู้แจ่มแจ้งว่าเขาแสดงอารมณ์โมโหโทโสออกมาน้อยมาก
ทว่าหากเขาหมดความอดทนแล้วละก็ ความโกรธของเขาก็เป็นสิ่งที่ยากจะรับมือได้!
แม้แต่ผู้ที่ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนานหลายปีอย่างซั่งอวี้เซินกับผู้อาวุโสโอวหยาง บัดนี้เองก็รู้สึกได้รางๆ ถึงรังสีเย็นยะเยือกสายหนึ่ง
“ฉู่เยว่ หากพูดเช่นนี้ แปลว่าเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเจ้าน่ะสิ?”
ฉู่หลิวเยว่ห่อไหล่ทั้งสองข้างพลางก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ศิษย์รีบร้อนบุ่มบ่าม จึงได้กระทำความผิดครั้งใหญ่ ท่านผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนโปรดลงโทษข้าด้วย”
“เจ้าย่อมต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไม่รู้จริงๆ ว่าตนควรจะพูดอันใดออกไป
ฉู่เยว่ผู้นี้ พอคิดว่าเขาจะทำตัวดีๆ ได้สักทีแล้วหยุดก่อเรื่อง ก็มักจะดึงดูดปัญหาใหม่ๆ เข้ามาให้ได้ตลอด!
อีกทั้งแต่ละครั้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย!
ครั้งนี้ถึงขั้นลากซั่งอวี้เซินกับโอวหยางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย!
ใช่สิ แล้วยังมีหรงซิวอีก!
“ท่านผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขอรับ ความจริงแล้วเรื่องวันนี้หากมิใช่เพราะการนำของข้า ศิษย์น้องฉู่เยว่ย่อมไม่มีทางไปที่เขาหมื่นเมรัยแน่”
น้ำเสียงของหรงซิวนุ่มนวล ทว่ากลับแฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงจังมากเช่นเดียวกัน
“ก่อนหน้านี้ช้าเคยรับปากท่านว่าจะชี้แนะสั่งสอนศิษย์น้องฉู่เยว่ให้ดี ดังนั้นตอนนี้ผู้ที่สมควรรับโทษตัวจริง ก็คือข้า”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพลันหัวเราะออกมาอย่างจริงจัง
“เจ้าคิดว่าข้าจะละเว้นเจ้าอย่างนั้นหรือ!? เดิมทีเจ้าก็สลัดความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่พ้นอยู่แล้ว! หรงซิว เจ้าคิดที่จะรับผิดชอบจัดการเรื่องทุกอย่าง ก็ต้องดูด้วยว่าที่ทำอยู่มันได้ผลหรือไม่ แล้วตัวเจ้าจะแบกรับมันไหวหรือเปล่า!”
สายตาของเขากวาดมองบนร่างของคนกลุ่มนี้รอบหนึ่ง
“พวกเจ้าทุกคน ไม่ว่าใครก็สลัดไม่หลุดทั้งนั้น!”
เขาหมื่นเมรัยเป็นถึงสถานที่แบบใดกัน?
ฉู่เยว่ไม่รู้ยังพอทำเนา ทว่าสามคนที่เหลือล้วนแล้วแต่รู้แจ้งแจ่มชัดกันทั้งนั้น!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขายังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ นี่พวกเขาคิดจะพลิกฟ้าคว่ำพื้นดินหรือไร!
คนทั้งสี่ต่างก็เงียบปากลงในทันใด
คราวนี้กระทั่งซั่งอวี้เซินเองก็ไม่ได้ทำตัวยั่วแหย่ดั่งเคย กลับมายืนด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนปิดเปลือกตาของตนลง
“เรื่องนี้ยังมีผู้ใดที่รู้อีกบ้าง?”
ผู้อาวุโสโอวหยางตอบว่า
“นอกจากคนในห้องโถงนี้แล้ว ก็ยังไม่มีใครรู้ทั้งนั้น”
หรือพูดอีกอย่างได้ว่า ในตอนนี้มีเพียงผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเท่านั้นที่ได้รับรู้ถึงข่าวนี้
นี่ทำให้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนรู้สึกผ่อนคลายลงไปอยู่บ้าง
หากว่าเรื่องราวเลยเถิดไปไกล ก็คงจบลงไม่ได้ง่ายๆ เป็นแน่
เขาจมดิ่งสู่ห้วงความคิดของตน เริ่มครุ่นคิดว่าควรลงโทษคนเหล่านี้อย่างใดดี
เวลา ณ ตอนนี้จึงดูราวกับว่าเชื่องช้าเป็นพิเศษนัก
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไม่ส่งเสียง คนทั้งสี่ที่เหลือเองก็ยืนเงียบกริบไร้คำพูดเช่นกัน
ในที่สุด เมื่อผ่านไปได้พักหนึ่ง ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็เงยศีรษะขึ้นมา ก่อนจะเบนสายตาไปทางฉู่หลิวเยว่เป็นคนแรก
“ฉู่เยว่”
“ศิษย์อยู่นี่แล้วขอรับ”
“ชุบหลอมวิญญาณศาสตราสำเร็จแล้วหรือ?”
“เรียนท่านผู้อาวุโส สำเร็จแล้วขอรับ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนผงกศีรษะรับ
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะสร้างปัญหาใหญ่โตผิดวิสัยนัก แต่ก็ไม่ได้นับว่าเสียเปล่าไปเสียทั้งหมด
วิญญาณศาสตราตนนั้นกลายเป็นของฉู่เยว่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าคนผู้ใดก็ไม่สามารถขโมยหรือช่วงชิงไปได้
ตอนนี้เขาสามารถชุบวิญญาณศาสตราขึ้นมาได้ อีกทั้งพวกมันยังหลอมรวมเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คงนับได้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องที่วิญญาณศาสตราตนนั้นยอมรับฉู่เยว่เป็นเจ้านาย แม้ว่าต่อหน้าทุกคนจะไม่ได้พูดอันใด ทว่าในความเป็นจริงแล้วผู้อาวุโสส่วนหนึ่งที่รู้ความจริงต่างก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง
สำนักเตรียมการมาอย่างยาวนาน ลงแรงแลกอันใดต่างๆ ไปไม่รู้กี่มากน้อยก็เพื่อชิงของสิ่งนี้กลับมาอีกครั้ง
ทว่าท้ายที่สุด ของสิ่งนี้กลับถูกศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้แค่สองเดือนยึดไปเป็นของตัวเองเสียอย่างนั้น พวกเขาย่อมต้องไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว
แต่ว่าเพราะเรื่องนี้มันเกิดขึ้นไปแล้ว อีกทั้งไร้หนทางใดแก้ไข พวกเขาจึงทำได้เพียงยอมรับสภาพเช่นนี้
ฉู่เยว่มีแต่ต้องใช้พลังพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถโน้มน้าวใจคนเหล่านี้ได้
แท้จริงแล้วในใจของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั้นคาดหวังในตัวฉู่เยว่ไว้มากนัก และเพราะเหตุนี้เช่นกัน เขาถึงได้ให้โอกาสเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ว่าฉู่เยว่จะละเมิดกฎสำนักหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ยังคงยืนอยู่ข้างฉู่เยว่ไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่ากับเรื่องครานี้ ฉู่เยว่นั้นทำเลยเถิดเกินไปมาก ทว่าเขาเองก็ไม่สามารถจัดการกับเขาได้เลยจริงๆ
คิดไปคิดมา ชุบหลอมวิญญาณศาสตราได้สำเร็จก็เป็นข่าวดีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้แล้ว
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนปลอบใจตัวเองไปพลาง ก่อนจะโบกมือไปทางฉู่หลิวเยว่
“ดีแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด รอช่วงค่ำข้าจะเข้าไปปรึกษากับอาจารย์ของเจ้า ดูว่าควรจะลงโทษเจ้าอย่างใดดี”
ความคิดของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย นางพลันคาดเดาได้ในพริบตาว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคงมีเรื่องจะพูดกับอีกสามคนเป็นแน่ จึงเอ่ยขอตัวลาอย่างรู้สถานการณ์
“ขอรับ”
นางคำนับเขารอบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายออกไปจากห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวของนางประณีตหมดจด ไร้ซึ่งท่วงท่ายุ่งเหยิงรุงรัง
รอจนเงาร่างของนางหายไปจากบานประตูใหญ่แล้ว ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจึงเบนสายตามาทางคนทั้งสามที่เหลืออยู่เบื้องหน้า
หัวคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงเองก็ทวีความเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาหลายระดับ
“ความโกลาหลวุ่นวายครั้งนี้เกี่ยวข้องกับตาน้ำพุนั่นด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่”
ผู้อาวุโสโอวหยางเอ่ยตอบขึ้นมาทันควัน
“ตอนนั้นพวกข้าทั้งหมดล้วนอยู่บนฟ้าเหนือยอดเขา ระยะทางยังคงห่างจากตาน้ำพุอยู่หลายส่วน”
ความจริงแล้ว ทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นล้วนถูกกระบี่ชื่อเซียวดูดกลืนไปแล้วเรียบร้อย นอกจากพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่งที่สร้างความเสียหายแก่บริเวณโดยรอบแล้ว อย่างอื่นก็ปลอดภัยไม่มีอันใดต้องกังวล
แน่นอนว่าคำพูดนี้คนละส่วนที่ฉู่เยว่ใช้กระบี่อย่างไร้สติในตอนท้ายออกไปเรียบร้อย
“เช่นนั้นก็ดี เพียงแต่ว่า อีกสักพักข้ายังต้องไปตรวจดูด้วยตัวเองอีกที”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกล่าว
คนทั้งสามล้วนไม่มีข้อคัดค้านใดเกี่ยวกับข้อนี้ทั้งสิ้น
ตาน้ำพุนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะให้ความสำคัญและระแวดระวังถึงเพียงนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
“เก็บงำเรื่องนี้ไว้ให้มิดชิด อย่าให้ผู้ใดได้ล่วงรู้อีกเด็ดขาด”
มีคนรู้มากขึ้นหนึ่งคน ปัญหาก็มากขึ้นตามหนึ่งส่วน
“ต่อให้วันนี้การลงมือของพวกเจ้าจะถือเป็นข้อยกเว้น ทว่าอย่างใดก็ต้องลงโทษกันเสียบ้าง”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนปรายตามองคนทั้งสาม
“พวกเจ้าไปคิดเอาเองแล้วกันว่าควรทำอย่างใดกับเรื่องนี้!”
…
ผืนฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นมาแล้ว
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่เดินออกมาจากหอระฆังบูรพกษัตริย์ก็เป็นเวลาเช้าแล้ว
ทว่าจัตุรัสชิงหมิงในตอนนี้ไร้ซึ่งผู้คน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเห็นว่านางเดินออกมาจากหอระฆัง
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองประตูใหญ่ที่ปิดลงแล้วรอบหนึ่งพลางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แล้วมุ่งหน้ากลับไปยังเขาจิ่วเหิง
…
ยามกลับมาถึงเขาจิ่วเหิง เท้าของฉู่หลิวเยว่เพิ่งจะเหยียบย่างลงบนพื้นก็พลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปต่อ
เมื่อผลักประตูให้เปิดออก นางก็ได้เห็นดวงหน้าที่คุ้นเคยดวงหน้าหนึ่ง
ตู๋กูโม่เป่ากำลังจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยในท่วงท่านั่งตัวตรง เมื่อได้ยินเสียง เขาก็เลื่อนสายตาขึ้นมองตามต้นเสียงนั้น
“พี่เป่า…”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเรียกเขาเสียงดังลั่น ยามสบเข้ากับนัยน์ตาสีม่วงประหลาดอันชวนดึงดูดคู่นั้น นางกลับบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุได้
ตู๋กูโม่เป่ายังคงมองนางด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“นี่เจ้าเข้าไปในเขาหมื่นเมรัยในช่วงเวลาต้องห้ามอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………….