ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1253 แก้ตัวแทนเขา
ฉู่หลิวเยว่รั้งรออยู่ในจวนของตนอย่างไม่สบอารมณ์อยู่พักใหญ่
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยมาถึงยามบ่าย สำนักก็มีประกาศแจ้งออกมาว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาหมื่นเมรัยจะปิดด่านซ่อมบำรุงเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม
บรรดาศิษย์ต่างก็ตื่นตกใจอย่างมากกับข่าวที่ได้รับนี้ อย่างใดเสียแม้เขาหมื่นเมรัยจะมีช่วงเวลาต้องห้ามประจำของทุกวัน ทว่าก็ไม่เคยปิดเขานานถึงหนึ่งเดือนเช่นนี้มาก่อน
ด้วยประการฉะนี้เอง ทุกคนต่างก็แสดงความเห็นวิจารณ์อย่างออกรส พากันคาดเดาไปถึงเหตุผลต่างๆ นาๆ
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสจำนวนมากเองต่างก็สับสนงุนงงกันไปหมดเช่นเดียวกัน
เมื่อวานยังปกติดีอยู่เลย วันนี้กลับมาปิดเขาโดยไร้สาเหตุเสียอย่างนั้น อีกทั้งระยะเวลาเองก็หาใช่ว่าจะสั้น ดูแล้วประหลาดพิกลอยู่โดยแท้
แต่ว่าผู้อาวุโสจำนวนมากเองต่างก็รู้ดีว่าเขาหมื่นเมรัยมิใช่สถานที่ธรรมดาสามัญทั่วไป ดังนั้นจึงมิได้เอ่ยถามอันใดให้มากความ
บรรดาลูกศิษย์เองแม้ว่าจะรู้สึกเสียดายที่ต้องเสียสถานที่ที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจไปหนึ่ง ทว่ายังโชคดีที่เขาปิดเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ไม่นานพวกเขาก็ยอมรับประกาศนี้แต่โดยดี
แน่นอนว่า ต่อให้พวกเขาไม่ยอมรับก็ไม่มีประโยชน์อันใดเช่นกัน
เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดจะออกไปเขาหมื่นเมรัยอีกสักรอบเพื่อไปดูถวนจื่อเสียหน่อย ทว่าคิดไปคิดมา สุดท้ายแล้วก็ล้มเลิกความคิดไป
ตอนนี้นางก็ทำได้เพียงแค่หวังว่าถวนจื่อจะสามารถผ่านช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ในเขาหมื่นเมรัยไปได้อย่างปลอดภัย
หลังจากที่หยุดพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วครู่แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็นั่งรอให้หรงซิวกลับมา ขณะเดียวกันก็รอบทลงโทษที่ตนเองจะต้องเผชิญด้วย
นางไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าตนจะสามารถรอดพ้นจากวิกฤติครานี้ไปได้
ดูจากปฏิกิริยาของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแล้ว ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่เขาโกรธจัดที่สุดเลยก็ว่าได้ ย่อมไม่ง่ายที่จะระงับยับยั้งอย่างแน่นอน
จะต้องรู้ก่อนว่า ครั้งก่อนตอนที่เขารู้ว่านางยึดกระบี่ชื่อเซียวไปเป็นของตัวเองแล้ว เขาหาได้แสดงสีหน้าเหมือนอย่างวันนี้ออกมาไม่
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาหมื่นเมรัยมีความสำคัญมากจริงๆ!
นี่ยังทำให้ฉู่หลิวเยว่แน่ใจมากกว่าเดิมว่าภายในตาน้ำพุบนยอดเขาหมื่นเมรัยนั่นย่อมต้องเก็บงำเอาความลับใหญ่หลวงที่เกี่ยวข้องกับสำนักเอาไว้เป็นแน่
ฉู่หลิวเยว่นึกไม่ออกเลยว่าสำนักจะงัดมาตรการใดมาจัดการกับนาง
แม้ว่าจะมีผู้อาวุโสวั่นเจิงและหรงซิวคอยให้การช่วยเหลือ ทว่านางก็รับรู้ได้อยู่ดีว่าผลลัพธ์ของตัวเองไม่น่าจะจบดีเท่าไรนัก
การรอคอยครั้งนี้จึงต้องรอจนถึงช่วงหัวค่ำ
ทว่าผู้ที่กลับมามิใช่หรงซิวแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นผู้อาวุโสเหวินซีเสียอย่างนั้น
“ฉู่เยว่”
ผู้อาวุโสเหวินซียืนอยู่ด้านนอกวงแหวนค่ายกล ก่อนจะวางตราหยกสีเขียวของตนไว้ด้านบนพลางตะโกนเรียกชื่อของฉู่หลิวเยว่ไปด้วย
เมื่อฉู่หลิวเยว่ที่นั่งรอเงียบๆ อยู่ในห้องมาตลอดได้ยินเสียงนี้ก็รีบหยัดกายลุกขึ้นเดินออกมานอกประตูในทันใด
นางกวาดมองไปก็พบว่าผู้อาวุโสเหวินซีกำลังยืนอยู่ด้านนอกของค่ายกล
ในตอนนั้นเอง เขาก็ไพล่แขนข้างหน้าของตนไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะมองมาที่นางด้วยสายตาสับสนงงงวย
ในใจของฉู่หลิวเยว่พลันส่งเสียง ‘กริ๊ก’ ออกมาคราหนึ่ง นางชะลอฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าลงโดยไม่รู้ตัว
“ผู้อาวุโสเหวินซี ท่านมาได้อย่างใดกัน?”
ผู้อาวุโสเหวินซีมิได้เอ่ยอันใดออกมา ทำเพียงแค่จ้องมองนางเช่นนั้น ราวกับว่ากำลังสงสัย งุนงง และสับสน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงกล่าวตอบกลับมาว่า
“เจ้าออกมาก่อนข้าจึงจะบอก”
“อือ”
ฉู่หลิวเยว่รับคำพลางเดินออกมาจากค่ายกล จากนั้นก็ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของผู้อาวุโสเหวินซีด้วยท่าทีจริงจัง
“นี่เจ้าก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยับยั้งน้ำเสียงของตนให้ฟังดูใจเย็นลงบ้าง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนดูออกว่าเขากำลังระงับอารมณ์เอาไว้
ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
ผู้อาวุโสเหวินซีกุมศีรษะของตนไว้ ไม่รู้เลยว่าตนควรพูดอันใดออกมาถึงจะดี
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งออกมาจากเขาเฝิงหมินนั่นหรอกหรือ? หา? นี่เหตุใดถึงไปสร้างเรื่องขึ้นมาได้อีกเล่า?”
เขาไม่ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของปั๋วเหยี่ยนมานานมากแล้วหนา!
สิ่งที่ยิ่งทำให้คนตกใจมากขึ้นกว่าเก่าก็คือ ครานี้นางยังลากหรงซิวเข้ามาข้องเกี่ยว รวมไปถึงพวกตาแก่สองคนนั้นอย่างซั่งอวี้เซินและโอวหยางด้วย!
“ความสามารถด้านนี้ของเจ้านับวันยิ่งจะเอาใหญ่มากขึ้นทุกที! เจ้าพูดมาเลยว่าไปทำอันใดไว้กันแน่ ถึงได้ทำให้ปั๋วเหยี่ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟปานนั้น”
ฉู่หลิวเยว่พลันเข้าใจในบัดดล ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสเหวินซีจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะโกรธเกรี้ยวขนานหนัก ทว่าเขาก็ยังคงเลือกที่จะเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้
ในแง่หนึ่งก็อาจเป็นเพราะเรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องด้วยไม่น้อย ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็อาจจะเพื่อรักษาเก็บซ่อนไว้ซึ่งความลับของเขาหมื่นเมรัย
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับมิรู้ถึงเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย
นางเม้มริมฝีปากของตนแน่น ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“ผู้อาวุโสเหวินซีขอรับ พวกหรงซิว…เป็นอย่างใดกันบ้างหรือ?”
“เจ้ายังมีกะจิตกะใจไปห่วงพวกเขาอีกหรือ? ตัวเจ้าเองตอนนี้ก็เอาตัวแทบไม่รอดแล้ว!”
สุดท้ายผู้อาวุโสเหวินซีก็อดรนทนไม่ไหว จัดการตบเข้าหลังศีรษะของฉู่หลิวเยว่ไปหนึ่งที
ทว่าด้วยความเป็นกังวลว่าเด็กอายุยังน้อย รวมไปถึงดูหน้าดูตาแล้วน่าเวทนาสงสารนัก สุดท้ายแล้วก็ตัดใจไม่ลงมือเต็มแรงอยู่ดี
ฉู่หลิวเยว่สูดปากคราหนึ่ง รีบยกมือขึ้นมาบังศีรษะของตนพลางมองไปที่เขาด้วยท่าทีน่าเวทนา
ใจของผู้อาวุโสเหวินซีพลันอ่อนยวบ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสั่นระริก
เหอะ!
น่าสงสารบ้าบออันใดกัน!
เจ้าเด็กนี่ดูออกว่าเขาเป็นพวกใจอ่อนง่ายก็เลยจงใจใช้สายตาแบบนั้นมองเขา! ต้องใช่อย่างแน่นอน!
นี่หากว่าเขามิได้ทำอันใดเลยจริงๆ จะทำให้ปั๋วเหยี่ยนมีปฏิกิริยาแบบนั้นออกมาได้หรือ?
น่าเสียดายที่ฝั่งปั๋วเหยี่ยนดูจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วที่เลือกเก็บงำเรื่องราวทั้งหมด บอกเขาเพียงแค่ว่าให้พาตัวฉู่เยว่ไป ไม่ได้พูดด้วยว่าเป็นเพราะเหตุผลใดกันแน่
ส่วนตัวเขาก็ทำได้แค่ลอบคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่ในใจเพียงเท่านั้น
ทว่าคิดไปคิดมา เขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่าเจ้าเด็กนี่ไปทำอันใดมากันแน่ถึงได้ลากบรรดายอดคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเยอะถึงปานนี้?
ผู้อาวุโสเหวินซีพลันรู้สึกว่าสันหลังของตนเย็นวาบ จึงกวาดตามองฉู่หลิวเยว่อย่างระแวดระวังรอบหนึ่ง
เจ้าเด็กนี่…
วันข้างหน้าคงไม่คิดจะเอาเขาไปขายด้วยหรอกกระมัง!?
“พวกเขามีแผนรับมือกันได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตอนนี้วั่นเจิงกำลังปรึกษากับปั๋วเหยี่ยนอยู่ที่หอระฆังบูรพกษัตริย์ว่าจะเอายังไงกับเจ้าดี ไม่ว่าวั่นเจิงจะพูดอันใดก็เอ่ยทวงถึงข้อตกลงที่ว่าให้เจ้าไปอยู่ตรงนั้นด้วย ก็เลยให้ข้ามาพาตัวเจ้าไปก่อนเป็นกรณีพิเศษ”
ในใจของฉู่หลิวเยว่พลันอุ่นวาบ
ผู้อาวุโสวั่นเจิงคงจะทราบถึงเรื่องราวครานี้แล้ว ทว่าการที่เขายังคงยืนกรานในข้อเรียกร้องข้อนี้ก็คงเป็นเพราะเห็นแก่นาง
นางผงกศีรษะรับหงึกหงัก
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเหวินซีมากขอรับ”
ผู้อาวุโสเหวินซีแค่นเสียงในลำคอออกมาคราหนึ่ง
“ไปกันเถอะ!”
ในฐานะของผู้อาวุโสที่พาฉู่เยว่เข้ามาในสำนัก แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ใช่อาจารย์ของเขา ทว่าก็ยังคงมีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องของเขาจะมากหรือน้อยก็ตาม
ในคราแรกเริ่มนั้น เขาเพียงรู้สึกตื่นเต้นแลปลื้มปิตินักที่ได้พาอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากเช่นนี้มาร่วมสำนัก
ทว่าในตอนนี้ เหตุใดเขาถึงได้มีความรู้สึกรางๆ ว่าตนกำลังถูกหลอกอยู่กันเล่า?
อีกทั้งยิ่งฉู่เยว่อยู่ในสำนักเป็นระยะเวลานานเท่าใด ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยิ่งทวีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น!
เมื่อผู้อาวุโสเหวินซีคิดมาถึงตรงนี้ ก็อดถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาไม่ได้
เหตุใดถึงต้องเป็นเขาที่คอยพบเจอผู้ที่ทำให้ทุกคนร้อนใจกันทั่วถ้วนเช่นนี้ทุกที?
…
เมื่อเดินทางมาถึงหอระฆังบูรพกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง คนทั้งสองก็เดินเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ ฉู่หลิวเยว่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศของตอนนี้กับตอนก่อนหน้านั้นแตกต่างกันอยู่บ้าง
“พาคนมาแล้ว”
ผู้อาวุโสเหวินซีเอ่ยขึ้น
ฉู่หลิวเยว่รีบตวัดสายตาไปมองอย่างว่องไว
ภายในห้องโถงใหญ่โตโอ่อ่า ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและผู้อาวุโสวั่นเจิงนั่งกันอยู่ตรงนั้น นอกจากนี้พวกหรงซิวทั้งสามคนล้วนไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น
นางเบนสายตากลับมาพลางก้มคำนับอย่างนอบน้อม
“ศิษย์นามฉู่เยว่ คารวะผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน คารวะท่านอาจารย์ขอรับ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่งสายตาแฝงความนัยไปทางผู้อาวุโสเหวินซี
ผู้อาวุโสเหวินซีเข้าใจในความนัยนั้นโดยพลัน
“เช่นนั้นพวกเจ้าคุยกันไปก่อนแล้วกัน ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนล่ะ”
เอ่ยจบ เขาก็หมุนกายจากไปในทันที
รอจนเงาร่างของเขาเลือนหายไปจากประตูใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็พลันรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องตึงเครียดขึ้นมาในทันใด
ราวกับกระทั่งอากาศภายในห้องก็เริ่มควบตัวกันเป็นกลุ่มก้อนทีละน้อยๆ ก็มิปาน!
สายตาทั้งสองคู่ที่เปรียบดั่งแก่นธาตุตกลงบนร่างของนาง ประหนึ่งคมดาบที่จ้องจะเชือดเฉือนกัน!
“ฉู่เยว่ ปั๋วเหยี่ยนบอกข้าว่าเจ้าไปก่อเรื่องที่เขาหมื่นเมรัยอีกแล้ว เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับอย่างตรงไปตรงมา
“ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ส่วนผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแค่นเสียงในลำคอออกมาคราหนึ่ง
“วั่นเจิง เขายอมรับด้วยตัวเองแล้ว เจ้ายังจะคิดแก้ตัวอันใดแทนเขาอีก?”