ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1254 สวนอสูร
ผู้อาวุโสวั่นเจิงกระแอมไอออกมาคราหนึ่งด้วยท่าทีสู้ไม่ได้
“เฮ้อ จริงๆ ข้าก็ไม่ได้แก้ตัวแทนเขาเสียหน่อย…อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นชุบหลอมวิญญาณศาสตราขึ้นมาได้แล้วไม่ใช่หรือไร? พูดกันตามจริง เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะละเมิดกฎสักหน่อย นี่ก็เป็นเพราะเขา… จำเป็นต้องทำต่างหาก…”
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อาวุโสวั่นเจิงเองก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายออกมาได้เต็มปากนัก
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำผิด ครั้งนี้หากไม่สั่งสอนให้รู้จักจำเสียบ้าง เห็นทีวันหน้า…”
ในใจของวั่นเจิงแม้จะรู้สึกว่าที่เขาพูดมานั้นมีเหตุผลยิ่ง ทว่าอย่างใดเสียผู้ที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้คือศิษย์ของตน หากว่าต้องตัดสินโทษรุนแรงจริงๆ ตัวเขาเองก็ตัดใจทำไม่ลงอย่างแท้จริงเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเด็กนี่ทำเพื่อชุบหลอมวิญญาณศาสตราขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ
บัดนี้ เขาคือผู้มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อไว้ในครอบครองอย่างแท้จริง!
เขาลอบยินดีปรีดาอยู่ในใจ ทว่ามิได้แสดงอารมณ์ออกมาให้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเห็นต่อหน้า
“ต้องทำอยู่แล้ว เรื่องตัดสินโทษอย่างใดก็ต้องทำ!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ยด้วยเสียงดังสนั่น
“แต่ว่า…อย่าทำลายไปถึงแก่นปราณของเด็กเลย…”
นี่เป็นต้นกล้าอ่อนที่หาเจอได้ยากโดยแท้ หากกระทำเสียจนบาดเจ็บเข้าจริงๆ คนที่จะช้ำใจเสียดายเอาทีหลังก็คือพวกเขานี่แหละหนา!
ฝั่งผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้
ตั้งแต่ที่เขาเรียกผู้อาวุโสวั่นเจิงให้มาพบ คนทั้งสองก็มีปัญหาที่ไม่ลงรอยเช่นนี้กันมาอย่างยาวนานแล้ว
สิ่งที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงคิดอยู่ในใจ มีหรือที่เขาจะไม่รู้?
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่ายศีรษะด้วยอับจนปัญญา
“วั่นเจิง หากเจ้ายังคงให้ท้ายเขาเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างแน่นอน!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ยตอบอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ก่อนหน้านี้เองก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ก่อปัญหาสร้างเรื่องเก่งเท่าเด็กนี่นี่นา นังหนูในตอนนั้นเองก็…”
“วั่นเจิง!”
หัวคิ้วของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่นพลางเอ่ยตะคอกใส่เขาเป็นเชิงให้หยุดทันควัน
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเองจึงได้รู้ตัวว่าตนเผลอหลุดปากพูดออกไป จึงเงียบปากลงในทันใด
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุก
เด็กสาวผู้นั้นอย่างนั้นหรือ…
ใครกัน?
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกว่าคนที่พวกเขากำลังพูดถึงอยู่คือตัวนางเองอย่างไร้ซึ่งความลังเลโดยสิ้นเชิง
นางหลุบตาลงเล็กน้อย ซ่อนงำเอาอารมณ์ที่เคลื่อนผ่านแววตาไปเมื่อครู่
ในความเป็นจริงแล้ว ระยะหลายวันมานี้นางก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะนึกเรื่องราวบางส่วนขึ้นมาได้อย่างงุนงง
ตัวนางก่อนหน้านี้ ยามอยู่ในสำนักหลิงเซียวแทบเรียกได้ว่าเป็นหัวโจกคนหนึ่ง เรื่องสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ผู้อื่นก็เคยทำมาแล้วไม่น้อยโดยแท้
ทั้งแอบแหกค่ายกลของสำนักเอย ทั้งผลาญสมุนไพรล้ำค่าของหุบเขาวาโยโอสถจนหมดสิ้นเอย…
พอมานับเป็นเรื่องๆ ไปแล้ว ก็เรียกได้ว่าเยอะจนยากจะนับให้หมดโดยแท้
มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่ออกจากสำนักไปนานถึงเพียงนี้ หลังจากที่ออกจากสำนักไปแล้ว เวลาบรรดาผู้อาวุโสเอ่ยถึงนางก็ยังดูหวาดผวานางกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่า…
จนถึงตอนนี้นางก็ยังคิดใคร่ครวญได้ไม่เข้าใจนักว่าตนทำเรื่องเหล่านั้นลงไปได้อย่างใดกันแน่
นางไม่รู้แม้กระทั่งที่ว่าตนบุกทะลวงอาณาเขตเซียนเทพได้สำเร็จตั้งแต่ตอนไหนด้วยซ้ำ
ภายในห้องพลันเงียบสงัด
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสงบสติอารมณ์ของตนลงพลางหันไปมองทางฉู่หลิวเยว่
“ฉู่เยว่ อาจารย์ของเจ้ารักใคร่เอ็นดูเจ้านักจึงไม่กล้าลงโทษเจ้า ทว่าเรื่องครานี้หนักหนาร้ายแรง หากไม่เพิ่มบทลงโทษย่อมไม่เหมาะสมโดยแท้ ตัวเจ้าเองเล่าคิดว่าอย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่ตวัดสายตาขึ้นมอง ในแววตากระจ่างชัดแลเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
“ศิษย์รู้ดีว่าตัวเองผิด ย่อมพร้อมรับโทษทัณฑ์ทุกประการขอรับ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงราวกับว่ามีคำพูดติดอยู่ที่ปากทว่ามิกล้าเอ่ยออกมา แต่เมื่อมองท่าทีของฉู่หลิวเยว่ที่แน่วแน่จริงจังแล้ว ก็ทำได้เพียงแค่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพลันผ่อนคลายลงหลายส่วน
ฉู่เยว่มีท่าทีเช่นนี้ได้ ก็ไม่นับว่าเป็นคนดื้อด้านหัวแข็ง หาใช่คนที่สอนอันใดก็ไม่ฟังจำพวกนั้นไม่
เพียงแต่ว่า ผ่านมาแล้วถึงสองครั้งสองครา มาบัดนี้เขาไม่กล้าเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าฉู่เยว่จะกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ
“เดิมที ข้ากับอาจารย์ของเจ้าคุยกันว่าจะส่งเจ้าไปกักตัวอยู่ในเขาเฝิงหมินสักระยะหนึ่งอีกรอบ”
แววตาของฉู่หลิวเยว่พลันวูบไหวเล็กน้อย
“แต่ว่า สองครั้งก่อนล้วนทำแบบเดิม แต่ก็ดูจะตักเตือนอันใดเจ้าไม่ได้ผลเลย”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเองก็ดูออกว่าฉู่เยว่ไม่หวาดกลัวกับเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
นี่หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่นแล้วละก็ ไปแค่ครั้งเดียวก็กลายเป็นคนเอาจริงเอาจังอยู่ในกรอบกันหมด ทว่าฉู่เยว่กลับไม่เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว!
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าวิธีนี้ใช้กับฉู่เยว่ไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง
“ดังนั้นในครั้งนี้ เราจะเปลี่ยนรูปแบบการลงโทษ”
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันว่างเปล่าแลแห้งเหี่ยวขึ้นมาทันใด
ยังคิดอยู่เลยว่าจะได้ไปที่นั่นอีกรอบ…ช่างน่าเสียดายโดยแท้…
นางชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขอรับ ครั้งนี้ศิษย์ทำผิดหนักหนาสาหัสเกินไปมากจริงๆ ข้ายอมรับโทษทัณฑ์ทุกประการนะขอรับ! ท่าน…ท่านจะส่งข้าไปกักตัวที่เขาเฝิงหมินอีกรอบหนึ่งก็ไม่เป็นไรนะ…”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาดแวบหนึ่ง
“เหตุใดกัน เจ้าอยากไปที่นั่นอีกรอบจริงๆ หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พลันหยุดหัวข้อสนทนานี้อย่างรู้ทัน
“ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าเพียงแค่…ความหมายของศิษย์ก็คือบทลงโทษที่ท่านมอบให้ทุกรูปแบบ ศิษย์ย่อมยอมรับพวกมันด้วยความเต็มใจขอรับ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนถึงได้ผงกศีรษะรับอย่างพออกพอใจอยู่บ้าง
“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว เช่นนั้นสำหรับบทลงโทษของเจ้า…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เจ้าไปรับผิดชอบเฝ้ายามที่สวนอสูรเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน”
“สวนอสูรหรือขอรับ?”
“หนึ่งเดือนหรือ!?”
ฉู่หลิวเยว่และผู้อาวุโสวั่นเจิงต่างพร้อมใจกันส่งเสียงออกมา
ต่างกันตรงที่ว่า ฉู่หลิวเยว่แค่ไม่รู้ว่าอันใดคือสวนอสูร ทว่าฝั่งของผู้อาวุโสวั่นเจิงกลับตื่นตะลึงที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยืดระยะเวลาลงโทษไปถึงหนึ่งเดือน!
“ปั๋วเหยี่ยน เจ้า เจ้า…ข้าไม่เห็นด้วย!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพยายามอย่างยากลำบากที่จะกลืนคำผรุสวาทที่พร้อมออกมาได้ทุกเมื่อให้ไหลกลับลงคอไปพลางตบโต๊ะอย่างแรง
“สวนอสูรเป็นสถานที่แบบใดกัน? เจ้าให้เขาไปอยู่ที่นั่นหนึ่งเดือน นี่ไม่เท่ากับว่าส่งเขาไปตายหรือ!? ไม่ว่าอย่างใดก็ต้องลดระยะเวลาลง!”
สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับเรียบเฉยนัก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“หากเป็นผู้อื่นย่อมอันตราย แต่เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ ฉู่เยว่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ในครอบครอง ในเมื่อเขามีความสามารถในการทำพันธะกับกษายะหางวายุได้ นี่หรือเจ้าจะบอกว่าเขาไม่มีปัญญาเฝ้ายามที่สวนอสูรในเวลาหนึ่งเดือนอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพลันสำลักออกมา
“นั่น นั่นไม่เหมือนกันเสียหน่อย! พวกที่อยู่ในสวนอสูรล้วนแล้วแต่เป็นอสูรปล่อยเลี้ยงทั้งนั้น ป่าเถื่อนเลี้ยงไม่เชื่อง นิสัยหรือก็ดุร้ายเหลือจะเอ่ย! แม้แต่เวลาส่งผู้อาวุโสบางคนไปก็มักได้รับบาดเจ็บกลับมากันเป็นครั้งคราว แล้วฉู่เยว่จะรอดหรือ?”
“เจ้ากังวลมากไปแล้ว”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่ายศีรษะไปมา ท่าทีของเขาหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก
“เจ้าเด็กฉู่เยว่ผู้นี้ก่อเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าดวงชะตากลับแข็งนัก ครั้งก่อน ภายใต้การล้อมโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับเทพจำนวนมากมายปานนั้น เขาก็ยังคงหนีมาได้ในสภาพร่างกายครบถ้วน มาครั้งนี้ ชุบหลอมวิญญาณศาสตราขึ้นมาใหม่ ถูกทัณฑ์สวรรค์นับไม่ถ้วนฟาดใส่ร่าง เขาก็ยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน จะบอกว่าเขาดวงแข็ง ข้าว่านั่นยังเป็นการพูดถ่อมตัวเกินไปด้วยซ้ำ!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาโดยพลัน
ไม่มีทางอื่นแล้ว ใครใช้ให้ที่เขาพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงกัน!
แท้จริงแล้ว ในใจของเขาเองก็กังขาในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน
ฉู่เยว่มักก่อเรื่องอยู่เป็นเนืองนิตย์ ทว่าเรื่องครานี้กลับมิใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปเพียงคนเดียวจะสามารถทำขึ้นมาได้
นั่นเองก็ต้องใช้ความสามารถอยู่หลายส่วนเลยทีเดียวจึงจะใช้ได้
เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ไร้ซึ่งหนทางใดให้ต่อรองได้แล้ว ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ลังเลอยู่นานทีเดียวจึงจำใจตอบรับในที่สุด
“ให้เขาไปก็ได้ แต่ทันทีที่เขาประสบเข้ากับภัยอันตราย ข้าจะรีบส่งคนไปพาเขาออกมาทันที!”
เอ่ยพลาง เขาก็หันไปมองทางฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะเอ่ยเตือนไปว่า
“ฉู่เยว่ ถึงเวลานั้นหากรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ให้รีบใช้ตราหยกดำของเจ้าส่งขอความช่วยเหลือมาหาข้า อาจารย์จะรีบไปหาเจ้าในทันทีแน่นอน! ไม่ว่าเวลาใดก็ห้ามอวดเก่งเป็นอันขาด เข้าใจใช่หรือไม่?”
ในใจฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกอุ่นวาบในอก
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากขอรับ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงจดจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าของตน
คงเป็นเพราะเมื่อวานประสบเข้ากับความยากลำบากมาไม่น้อย วันนี้เองก็ยังไม่ทันได้พักผ่อนดี ดวงหน้าจึงดูซีดเซียว ริมฝีปากเองก็ซีดเผือด
ทว่ายามที่เขายิ้มออกมาเช่นนี้กลับมีใบหน้าที่กระจ่างสดใส รอยยิ้มหรือก็แสนจะอบอุ่นนัก
เป็นสีหน้าแบบที่ทำให้คนรู้สึกอยากยิ้มตามเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เจ้าเด็กนี่…จนถึงตอนนี้ก็ยังยิ้มอย่างไร้เดียงสาออกมาได้อยู่อีก
ตอนที่เขาได้รับรู้ว่าสวนอสูรเป็นสถานที่แบบใด เกรงว่า…
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพลันหยัดกายลุกขึ้น
“ไปกันเถอะ พวกข้าจะไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง”