ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1255 ความแข็งแกร่ง
หัวคิ้วของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางถูกขังไว้ที่เขาเฝิงหมินสองครั้ง ครั้งแรกผู้อาวุโสเหวินซีเป็นคนมาส่งนาง ส่วนครั้งที่สองคือหรงซิว
แต่ทว่าในครั้งนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนตั้งใจมาส่งนางด้วยตัวเอง
มันคือสถานที่แบบใดกันแน่ ถึงทำให้เขาต้องระมัดระวังขนาดนี้?
และแน่นอนว่าเพราะในครั้งนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนต้องการจะปิดข่าว จึงไม่สามารถให้คนอื่นมาส่งนางได้ ดังนั้นจึงต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นจากการคัดค้านที่รุนแรงของผู้อาวุโสวั่นเจิง สวนอสูรแห่งนั้น…น่าจะไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่อันใด
อย่างน้อยก่อนหน้านี้ตอนที่นางถูกขังอยู่ในเขาเฝิงหมิน ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ไม่เคยกังวลเรื่องความอันตรายของนางเลย
แต่ว่าในครั้งนี้…
ฉู่หลิวเยว่รวบรวมสมาธิ แล้วติดตามอีกฝ่ายไปอย่างใกล้ชิด
…
พวกเขาทั้งสามคนเดินทางออกจากหอระฆังบูรพกษัตริย์ จากนั้นก็เดินทางไปยังสวนอสูรทันที
หลังจากเดินไประยะหนึ่งแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็พบว่าทิศทางที่พวกเขาเดินทางไปนั้นจะเป็นทางไปสำนักปรมาจารย์ด้านค่ายกล
เหมือนว่าเห็นความสงสัยในแววตาของนาง ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อยแล้วอธิบายว่า
“สวนอสูรนั้นเป็นพื้นที่ภายในสำนักปรมาจารย์ด้านค่ายกล แต่ว่ามันก็ไม่ใช่พื้นที่ของเขา ทั้งผู้อาวุโสด้านต่อสู้และค่ายกลก็ผลัดเปลี่ยนมาลาดตระเวนกันที่นี่”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
เมื่อผู้อาวุโสวั่นเจิงเห็นว่าสีหน้าของนางกลับคืนสู่ความปกติ ก็ยังแอบคิดว่าในตอนนี้เด็กน้อยยังไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญหน้ากับอันใด จึงถอนหายใจออกมา
ฉู่หลิวเยว่เห็นความกังวลในสายตาของเขา จึงครุ่นคิดแล้วถามว่า
“อาจารย์ สวนอสูรแห่งนั้น…อันตรายมากเลยหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงชะงักไปเล็กน้อย
“ช่างเถิด เมื่อถึงที่แห่งนั้นเจ้าก็จะรู้เอง”
ฉู่หลิวเยว่จึงต้องระงับความสงสัยลงอย่างไม่มีทางเลือก
พวกเขาเดินทางอ้อมเทือกเขาสลับซับซ้อน ระหว่างทางฉู่หลิวเยว่ยังเห็นค่ายกลระดับสูงอยู่จำนวนหนึ่งอีกด้วย
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็หยุดฝีเท้าลง
“ถึงแล้ว! ด้านล่างนั้นคือสวนอสูร!”
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าไปด้านหน้าสองสามก้าว แล้วมองตามสายตาของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไปด้านล่าง
ยอดเขานับสิบลูกทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ต้นไม้เขียวชอุ่ม เมฆหมอกบนภูเขาสีขาวลอยละลิ่วผ่านครึ่งภูเขา
เมื่อมองลงไปที่พื้น ราวกับป่าไม้ที่เงียบสงบ ไม่แตกต่างจากส่วนอื่นของสำนักเลย
แต่ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่า มันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น
เพราะว่าบนอากาศเหนือยอดเขาเหล่านี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีค่ายกลสีเงินขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่
มันปรากฏบนอากาศอย่างเงียบเชียบ ปกคลุมผืนป่าทั้งหมด และมีรูปร่างโปร่งแสง
เมื่อช่องว่างระหว่างลำแสงเชื่อมต่อกัน ก็ยังสามารถมองทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน
ในตอนนั้นเองทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าตกใจของค่ายกล!
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าอวดดี!
ฉู่หลิวเยว่กลั้นลมหายใจตัวเอง
…ค่ายกลแห่งนี้ เป็นหนึ่งในค่ายกลที่ลึกซึ้งที่สุดที่นางเคยเห็นมาในชีวิต!
เมื่อเทียบกับค่ายกลของสำนัก ก็ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย
ต้องบอกก่อนว่าการจะสร้างค่ายกลเช่นนี้ จะต้องใช้ความพยายามของผู้ที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก
และต้องสิ้นเปลืองทั้งแรงคนและทรัพยากรจำนวนมากจนไม่สามารถนับได้!
แต่มันกลับอยู่ภายในสำนัก เป็นการสร้างค่ายกลที่ไม่คำนวณถึงต้นทุนในการสร้าง นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้ค่ายกลนี้จะต้องล้ำค่าอย่างมาก!
สายตาของฉู่หลิวเยว่กวาดมองค่ายกลนั้นอย่างละเอียด จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ลึกลับและแข็งแกร่งหลายสาย
นั่นน่าจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสที่ลาดตระเวนอยู่ภายใน
วินาทีต่อมา ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ถลาร่างกายลงไป
ผู้อาวุโสวั่นเจิงตบไหล่ของฉู่หลิวเยว่เบาๆ
“ไปกันเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า พร้อมพุ่งตัวลงไปอย่างไม่ลังเล
ทั้งสามคนยืนอยู่ด้านนอกห่างจากค่ายกลสีเงินนั้นประมาณหนึ่งร้อยเมตร
เมื่อยืนอยู่ตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถสัมผัสแรงกดดันที่แข็งแกร่งของค่ายกลนี้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นางไม่รู้จริงๆ ว่าสถานการณ์ด้านในเป็นอย่างใด…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง
ทันใดนั้นเอง ลมปราณสายหนึ่งขยับเข้ามาใกล้!
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากด้านหลังของค่ายกลลึกลับนั้น
“ปั๋วเหยี่ยน วั่นเจิง พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างใด?”
ชายคนนี้สวมชุดคลุมสีขาว รูปร่างผอมสูง สายตาคมกริบ
ตอนที่เขากวาดสายตามามอง แทบจะทำให้ผู้คนไม่กล้าขยับเขยื้อน
“คนผู้นี้คือใคร? พวกเจ้าพาเด็กน้อยมาที่นี่เนี่ยนะ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนอธิบาย
“นี่คือฉู่เยว่”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถมองเห็นความเข้าใจในใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เหมือนว่าเขาจะได้ยินชื่อเสียงอัน ‘โด่งดัง’ ของนางมานานแล้ว…
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยกคางขึ้น
“นี่คือผู้อาวุโสอวี๋อวี้”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกลำบากใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ศิษย์ฉู่เยว่ คารวะผู้อาวุโสอวี๋อวี้”
“ช่วงนี้เจ้าเด็กฉู่เยว่ได้ก่อเรื่องบางอย่าง ข้ากับผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงได้ปรึกษากัน และคิดว่าจะนำเขามาทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งเดือน ให้เขาได้รับความลำบากบ้าง จะได้จดจำและไม่ทำอีกต่อไป”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้หันมามองทางฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจเล็กน้อย
นี่เขาทำอันใดมากันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกสั่งให้มาที่นี่?
ปกติแล้วปั๋วเหยี่ยนไม่มีทางทิ้งใครมาที่นี่ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเวลาตั้งหนึ่งเดือน
“ตอนนี้ฝีมือของเจ้าอยู่ในระดับใด?”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ยกคางขึ้นแล้วถาม
“ข้าถามถึงทั้งหมดทุกด้าน”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วตอบตามความจริง
“ตอนนี้ศิษย์อยู่ในระดับเจ็ดขั้นกลาง เซียนหมอระดับเก้า ค่ายกล…ระดับเก้า”
ทันทีที่สิ้นเสียง บรรยากาศก็เงียบกริบ
ผู้อาวุโสทั้งสามคน หันมองฉู่หลิวเยว่เป็นตาเดียว
“ฉู่เยว่ เจ้าเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลระดับเก้าตั้งแต่เมื่อใด?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“ก็…ไม่นานเท่าไร…”
เดิมทีนางไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้ แต่ในฐานะที่ผู้อาวุโสอวี๋อวี้เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล ดังนั้นจึงมีดวงตาเฉียบแหลมอย่างมาก นางไม่กล้ารับประกันว่าหากตนเองโกหกในตอนนี้ หลังจากนี้ไปนางจะถูกลงโทษหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เรื่องที่นางสามารถทะลวงค่ายกลของสำนักขึ้นมาได้ อีกฝ่ายก็สามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว
ริมฝีปากของผู้อาวุโสวั่นเจิงขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอันใด สุดท้ายเขาก็เหลือบสายตาไปมองผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน แล้วแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง
เห็นแล้วใช่หรือไม่!
ฝีมือของเด็กคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้หลายส่วนเลยทีเดียว!
นี่เป็นต้นกล้าที่หาได้ยากต้นหนึ่งเลย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาจะไม่ยอมปั๋วเหยี่ยนจริงๆ
“ไม่เลว นับว่าตรงไปตรงมาเลยทีเดียว”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้พยักหน้า
“เข้าไปเถอะ!”