ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1263 นางเทียบกับข้าไม่ได้เลย
หลายวันก่อนหลังจากที่นางส่งจดหมายไป ก็ยังไม่ได้การตอบกลับใดๆ
ตามหลักการแล้วเมื่อผ่านมานานขนาดนี้ จดหมายฉบับนั้นก็น่าจะถึงเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงได้แล้ว
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอันใดบางอย่าง คาดไม่ถึงว่าทางนั้นจะไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดเลย
หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้ท่านพ่อของนางไม่สามารถสืบอันใดพบ ก็จะต้องเขียนจดหมายมาปลอบใจนางบ้าง
แต่ครั้งนี้มันแปลกไปอย่างมาก…
เกือบจะสองวันแล้ว ตอนกลางคืนนางเริ่มจะนอนไม่หลับ หลับได้ไม่สนิท ตอนกลางวันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอันใด มองดูแล้วท่าทางดูซีดเซียวอย่างมาก
“อุ้ปส์! นั่นมันคางคกอยากกินเนื้อหงส์นี่นา!”
เหลี่ยงเซียวเซียวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ได้ยินคำพูดนี้ จึงอดที่จะด่าเสียงต่ำไม่ได้
“น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า จะมาต้องการความโปรดปรานจากจื่อหยวน เจ้าฝันกลางวันไปเถอะ! ต่อให้ตอนนี้นางไม่ใช่พระชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจินตนาการได้! จื่อหยวน เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
นางพูดไปพลาง พร้อมมองจื่อหยวนไปพลาง
แต่หลังจากที่หันไปมองแล้ว นางก็เพิ่งพบว่าจื่อหยวนจะไม่ได้ฟังนางอยู่เลย
ดวงตาไม่มีจุดมุ่งหมาย จิตใจล่องลอย เหมือนกำลังเหม่ออยู่?
เหลี่ยงเซียวเซียวขมวดคิ้วขึ้น ในใจมีประกายความไม่พอใจอยู่
นางกำลังชื่นชมและปลอบใจจื่อหยวนอยู่ แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังนางเลยแม้แต่น้อย?
“จื่อหยวน จื่อหยวน?”
สีหน้าของเหลี่ยงเซียวเซียวกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนเรียกจื่อหยวนออกมาสองครั้ง
เจียงจื่อหยวนจึงเพิ่งได้สติขึ้นมา
“อื้อ? มีอันใดหรือ?”
เหลี่ยงเซียวเซียวรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง จึงหัวเราะออกมาด้วยความเก้อกระดาก
“ไม่มีอันใด เจ้ากำลังคิดเรื่องอันใดอยู่หรือ เหตุใดถึงเหม่อเช่นนี้?”
เจียงจื่อหยวนหลุบตาลงต่ำ
“ข้าคิดถึงท่านพ่ออยู่นิดหน่อย ข้าไม่ได้กลับบ้านมาตั้งนาน ไม่รู้ว่าที่เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงจะเป็นอย่างใดบ้าง”
เหลี่ยงเซียวเซียวเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
คิดถึงท่านพ่อ?
เจียงจื่อหยวนพูดออกมาเช่นนี้ บางทีคนอื่นอาจจะเชื่อ แต่นางกลับไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว
พวกนางรู้จักกันมาก็นาน
ก่อนที่เจียงจื่อหยวนจะเข้าสำนักในปีนั้น เดิมทีนางก็จะอยู่ที่เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงตลอดเวลา ไม่มีโอกาสได้ไปพระราชวังเมฆาสวรรค์เลย เพราะว่าตอนนั้นท่านพ่อของนางกระตุ้นให้นางฝึกฝนอย่างหนัก
ท่านพ่อของเจียงจื่อหยวนรักนางมาก แต่ความรักนี้มีเงื่อนไข
ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงจื่อหยวนโดดเด่นมากพอ นางก็ไม่มีทางมีวันนี้
เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียง…
เจียงจื่อหยวนเคยพูดออกมาด้วยตัวเองว่านางโง่พอแล้ว!
หลังจากที่นางเข้ามาในสำนักหลิงเซียวแล้ว นางก็แทบอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ที่นี่มีอิสระ นางไม่เคยพูดว่าคิดถึงบ้านหรือคิดถึงพ่อเลยสักครั้ง
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของนางนั้นเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ เหลี่ยงเซียวเซียวก็ไม่ต้องการเอาหน้าไปแนบกับก้นเย็น*
ถ้าหากพูดตามตรงฐานะของนางนั้นยังสูงกว่าเจียงจื่อหยวนอยู่เล็กน้อย ความจริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องเอาใจนางเลยก็ได้
“ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็ไปขอลากับอาจารย์เสียสิ”
เหลี่ยงเซียวเซียวทัดผมไว้ที่หลังหู แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ
หากเป็นในเวลาปกติ เจียงจื่อหยวนจะสามารถสัมผัสได้ทันทีว่าเหลี่ยงเซียวเซียวกำลังไม่พอใจ จนต้องพูดปลอบใจนางประโยคสองประโยค เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย
แต่ตอนนี้ในสมองของนางเต็มไปด้วยเรื่องของจดหมายฉบับนั้น เดิมทีก็ไม่มีความคิดที่จะสนใจเรื่องอื่นอยู่แล้ว
“อื้อ รอเรียนวันนี้เสร็จก่อน ข้าค่อยไปแล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าเจียงจื่อหยวนยังพูดตามน้ำ เหลี่ยงเซียวเซียวเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโมโห และไม่มีแก่ใจที่จะสนทนาต่อไปแล้ว
เมื่อผ่านไปสักพัก นางก็หาข้ออ้าง แล้วไปพูดคุยกับคนอื่นที่อยู่ด้านข้าง
ในสมองของเจียงจื่อหยวนยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
อีกทั้งหลังจากนั้นไม่นาน เหล่าผู้อาวุโสก็มาถึงแล้ว
…
ในการเรียนร่วมในครั้งนี้ นอกจากจะมีผู้อาวุโสฮวาเฟิง ผู้อาวุโสตันชิง แม่นางเจ็ด ยังมีผู้อาวุโสซูเฟิงอีกด้วย
เมื่อเห็นว่าพวกเขามาถึงแล้ว เหล่าศิษย์ก็ทยอยเงียบเสียงลง พร้อมมองไปที่อาวุโสทุกท่านด้วยความตื่นเต้นและสงสัย
พูดอย่างไม่เกินจริงเลยก็คือ ผู้อาวุโสทั้งหลายที่มารวมตัวกันอยู่ในตอนนี้ ล้วนเป็นแนวหน้าระดับสูงของสำนัก!
ผู้อาวุโสของสำนักหลิงเซียวมีจำนวนหลายร้อยคน ปรมาจารย์ด้านค่ายกลมีปราบมารหนึ่งในสามส่วน
แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้บำเพ็ญเพียรที่จะมีทั้งระดับสูงและระดับต่ำ
เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่มีข้อยกเว้น
อีกทั้งเรื่องนี้ ทุกคนก็ยอมรับโดยเอกฉันท์ว่าคนเหล่านี้ยอดเยี่ยมที่สุด
เหล่านักเรียนจึงอดตื่นเต้นกันขึ้นมาไม่ได้
ผู้อาวุโสทั้งสี่ท่าน แบ่งเป็นสองกลุ่มก่อน แต่ละคนก็เข้าร่วมการต่อสู้ของใครของมัน
หลังจากที่แสดงให้ศิษย์ดูจบแล้ว ก็ให้เวลาพวกเขาศึกษาด้วยตนเอง
สุดท้ายก็เป็นช่วงเวลาของศิษย์ที่จะมีการท้าทายประลองยุทธ์
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุด
ศิษย์จำนวนมากพูดคุยกันเรื่องคู่ต่อสู้ที่ต้องการจะมาประลองกันอย่างรวดเร็ว
มีบางคนมาตามหาเจียงจื่อหยวน แต่ก็ถูกนางปฏิเสธไป
หลังจากที่ปฏิเสธคนไปห้าคน เขากลับไม่ได้จากไปเหมือนกับคนอื่นๆ แต่กลับพุ่งตัวมายังเจียงจื่อหยวน แล้วหัวเราะเสียงดังพร้อมพูดว่า
“จื่อหยวน พวกเราก็รู้จักกันมาสองปีแล้วนะ ข้ารู้สึกอย่างใดกับเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ดี ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพูดมาก นั่นเป็นเพราะรู้ว่าหัวใจของเจ้ามีเจ้าของแล้ว แต่ว่าตอนนี้…เจ้ากับเขาก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่รับพิจารณาข้าเสียหน่อยละ?”
ไม่ได้ยินคำพูดที่ล่วงเกินหรงซิว ในที่สุดเจียงจื่อหยวนก็เงยหน้าขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย พร้อมจ้องหน้าเขาตาเขม็ง
เหมือนว่านางจะรู้จักคนผู้นี้
ความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้นับว่าแย่ แต่ว่ามันก็มีแค่นั้น
ถ้าจะให้พูดให้ดีเลยก็คือ นางต้องใช้คำว่าเกรงใจกับคนผู้นี้
น่าเสียดาย…คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดเอาไว้สองประโยคนั้น ทำให้นางรู้สึกรังเกียจอย่างมาก!
นางสะกดกลั้นความโมโหของตัวเองลงอย่างยากลำบาก แล้วพูดขึ้นว่า
“ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เรื่องเช่นนี้ มันไม่สามารถบังคับกันได้”
เมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นว่านางยังมีท่าทางเช่นนี้ จึงอดที่จะยื่นมือออกมาไม่ได้ แล้วลากนางกลับมา
เจียงจื่อหยวนรีบเบี่ยงตัวทันที แววตามีประกายความรังเกียจ
สีหน้าเช่นนี้ทำให้ผู้ชายคนนั้นอับอายจนกลายเป็นโมโหขึ้นในทันที
เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ
“ศิษย์พี่หรงซิวมีพระชายาแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างใด เจ้าคิดว่ายังจะสามารถแย่งตำแหน่งพระชายากลับมาได้อยู่หรือ?”
เจียงจื่อหยวนระเบิดความโกรธขึ้นมาทันที แล้วพูดเสียงสูงอย่างอดไม่ได้
“แม่นางคนนั้นไม่ได้ดีเท่าข้า มีสิทธิ์อันใดมาครองตำแหน่งพระชายา…เดิมทีตำแหน่งนั้นมันควรจะเป็นของข้า!”
*เอาหน้าไปแนบกับก้นเย็น แปลว่า ตัวเองให้ความดี แต่คนอื่นไม่ใส่ใจ