ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1264 แพ้ชนะ
ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ สีหน้าของผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เปลี่ยนไป
เจียงจื่อหยวนก็ได้สติกลับมาแล้ว ในใจของนางเต้นแรงขึ้นมา
…เหตุใดนางถึงพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาในที่สาธารณะ!
แม้ว่าในใจของนางจะคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือว่าหลายคนก็คิดเช่นนั้น แต่คำพูดเช่นนี้ไม่ควรหลุดออกมาจากปากของนาง!
รอบข้างเงียบไปทันทีโดยเห็นได้ชัด
บางคนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็หันมามอง สีหน้าประหลาดใจ แววตาหรี่ลงเล็กน้อย
เหมือนว่าด้านหลังของนางมีแสงสว่างส่องประกาย ในตอนนั้นนางแทบจะแทรกแผ่นดินหนี!
คำพูดบางคำ คนอื่นสามารถพูดได้ แต่ตัวเองพูดออกไปไม่ได้!
ก่อนหน้านี้นางส่งสัญญาณลับมาหลายครั้ง และแสดงออกอย่างต่อเนื่องว่านางโดนแย่งความรักไป มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้สถานการณ์ของพระราชวังเมฆาสวรรค์อย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่แล้วจึงเชื่อคำพูดของนาง คิดว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างที่สุด จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจและสงสาร
แต่ถ้านางพูดออกมาเองแบบนี้ ลักษณะนิสัยของนางก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
นี่เหมือนนางกำลังจะบอกทุกคนว่า นางคิดว่าตำแหน่งพระชายานั้นเป็นของนางมาโดยตลอดเลยใช่หรือไม่?
“ข้า ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…”
เจียงจื่อหยวนลุกลี้ลุกลนขึ้นมา ต้องการจะอธิบายเดี๋ยวนี้
แต่นางตะกุกตะกักอยู่นาน หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่ได้เลยแม้แต่สักส่วน
ยิ่งตื่นเต้น ก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะกอบกู้สถานการณ์นี้อย่างใด
“ศิษย์พี่เจียงจื่อหยวน”
ในตอนนั้นเองน้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศที่เหมือนถูกแช่แข็งทิ้งไปทั้งหมด
เจียงจื่อหยวนรีบหันกลับไปมองทันที แต่กลับเห็นว่าคนที่พูดนั้นเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบ
เขาสวมชุดคลุมสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง
เพียงแค่เขายืนอยู่ตรงนั้น ก็เหมือนกับภาพวาดหมึกดำ
สีม่านตาของเขานั้นอ่อนกว่าคนทั่วไปมาก จึงทำให้เขาดูแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่หลายส่วน
“เจ้าคือ…หลินจือเฟย?”
เจียงจื่อหยวนจำได้ว่านางเคยเห็นใบหน้าของคนผู้นี้มาก่อน
ถ้าจำไม่ผิดละก็ คนพวกนี้ก็เป็นหนึ่งในศิษย์ใหม่ของสำนัก และเป็นคนแรกที่อยู่ในรายชื่องานประลอง
ชิงอวิ๋น
ในขณะเดียวกันเขาคือคุณชายตระกูลหลินแห่งผาแดนสวรรค์
ในตอนแรกที่ฉู่หลิวเยว่เดินทางมาที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ นางก็ตามพวกเขาไปที่นั่นด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจของเจียงจื่อหยวนก็เกิดความรำคาญขึ้นมา
เรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่นางคนนั้น นางเกลียดชังมันทั้งหมด!
“เจ้ามีอันใดกับข้างั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเจียงจื่อหยวนเย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่เหมือนว่าหลินจือเฟยจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ้มออกมาบางๆ
“มีเรื่องหนึ่ง ได้ยินมาว่าศิษย์พี่เจียงจื่อหยวนโดดเด่นเรื่องค่ายกล จือเฟยจึงอยากจะได้คำชี้แนะ ไม่ทราบว่า…จะได้หรือไม่?”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
ในใจเจียงจื่อหยวนเย็นยะเยือก แต่สีหน้ากับราบเรียบ
“ศิษย์น้องหลิน เจ้าเพิ่งได้ขึ้นลำดับของงานประลองชิงอวิ๋น ด้วยความเป็นเด็กจึงอยากจะหาคนมาท้าประลองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีความผิดแปลกอันใด แต่คนที่เจ้าเลือกน่ะ เจ้าต้องเลือกให้ดีๆ หน่อย ในที่แห่งนี้มีปรมาจารย์ด้านค่ายกลอยู่จำนวนไม่น้อย เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเขาได้ เจ้าไม่ควร…จะมาเสียเวลากับข้าเลย”
คำพูดนี้พูดแล้วก็เหมือนเกรงใจ แต่ความจริงแล้วนางกำลังประชดว่าหลินจือเฟยฝีมือไม่พอ ไม่ดูกำลังตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นใครก็หลีกเลี่ยงที่จะโกรธไม่ได้
แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหลินจือเฟยก็ยังเป็นปกติ ราวกลับไม่ได้ใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่เจียงจื่อหยวนพูดได้ถูกต้อง คนที่ฝีมือห่างไกลกัน ไม่ควรมาเปรียบเทียบกับคนที่แข็งแกร่งกว่ามาก ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ สุดท้ายแล้วก็จะเป็นตนเองที่บาดเจ็บและอับอาย”
เจียงจื่อหยวนหน้าเปลี่ยนสี
นี่เป็นการด่านางอย่างโจ่งแจ้ง!
ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้แล้วว่า หลินจือเฟยกำลังพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระราชวังเมฆาสวรรค์!
นางแพ้ฉู่หลิวเยว่คนนั้นติดต่อกันมาหลายครั้ง!
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างใดกันแน่?”
ในที่สุดเจียงจื่อหยวนก็หมดความอดทนแล้ว
หลินจือเฟยหัวเราะออกมา
“สิ่งที่ข้าอยากจะพูดกับศิษย์พี่เจียงจื่อหยวนยังฟังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”
เขายกคางขึ้นเล็กน้อย สายตาค่อยๆ เย็นชา
“เดิมทีข้าต้องการให้ศิษย์พี่เจียงจื่อหยวนมาชี้แนะ แต่อย่างใดก็ตามเหมือนว่าศิษย์พี่เจียงจื่อหยวนจะไม่ยินยอม แต่ว่า…ความจริงแล้วข้าก็ไม่ได้ต้องการจะประลองกับศิษย์พี่อยู่แล้ว ระยะห่างระหว่างพวกเรามันกว้างอย่างที่ศิษย์พี่บอกจริงๆ”
เจียงจื่อหยวนหัวเราะขึ้นมา
“เจ้าพูดอันใดน่ะ?”
คำพูดเช่นนี้ จะบอกว่านางหยิ่งหรือ?
“ศิษย์น้องหลิน หรือเจ้าคิดว่าได้ขึ้นลำดับการประลองชิงอวิ๋นแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะไร้เทียมทานหรือ? เจ้าอย่าลืมสิ รายชื่อบนนั้นของเจ้ากับข้า ยังห่างกันอีกตั้งสิบกว่าคน!”
ในตอนนั้นเองการกระทำเหล่านี้ได้ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าหลินจือเฟยเป็นคนที่บ้าคลั่งอย่างยิ่ง ความสามารถของเขานั้นโดดเด่นอย่างยิ่ง แต่ก็อยู่ที่สำนักแห่งนี้มาหลายปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยม โดยที่ทุกคนให้การยอมรับแล้ว และอยู่ในอันดับต้นๆ ของผังการประลองชิงอวิ๋นอีกด้วย
คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ออกมา…
นี่เขาคงจะคิดว่าตัวเองเก่งมากเกินไปละมั้ง
แต่หลินจือเฟยไม่ได้สนใจความคิดของคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
เขาหันไปมองทางเจียงจื่อหยวนแล้วพูดว่า
“หากศิษย์พี่เจียงไม่เชื่อ เช่นนั้นก็สามารถลองดูได้”
นี่เป็นการท้าทายที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก!
ไม่ ต้องบอกว่าเป็นการ...ยั่วยุ!
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
เจียงจื่อหยวนใช้สายตาสำรวจมองจากบนลงล่างมองจากล่างขึ้นบน แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ศิษย์น้องหลิน การที่เจ้าใจกล้าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งเจ้าก็ไม่รู้จักเจียมตัวเลย จะสร้างปัญหาให้กับตนเองได้ นี่เป็นคำโน้มน้าวครั้งสุดท้ายของข้า เจ้าระวังตนเองให้ดีเถิด!”
หลินจือเฟยเหลือบสายตามองนางครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นแต่ไม่ใช่รอยยิ้ม
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของศิษย์พี่เจียง แต่ความกล้าของข้านั้น ที่แท้แล้วเทียบกับของศิษย์พี่ไม่ได้เลย”
เขาค่อยๆ พูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ท้ายที่สุดแล้วเรื่องกลับดำเป็นขาว เจ้าก็พูดออกมาแล้ว และยังพูดออกมาต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้…ข้าไม่มีความกล้าขนาดนั้นหรอก”
หัวใจของเจียงจื่อหยวนดำดิ่งลงในทันที
นางพยายามควบคุมความโกรธ และฝืนยิ้มออกมา
“ศิษย์น้องหลินที่เจ้าพูดนั้นหมายความว่าอย่างใด ข้าไม่…”
“ตำแหน่งพระชายา ได้มาจากการคัดเลือก ในวันนั้นเจ้าแพ้ตั้งแต่รายการแรกจนถึงรายการสุดท้าย แต่กลับไม่รู้ว่าคำพูดอย่าง ‘พระชายาดีไม่เท่าเจ้า’ ศิษย์พี่เจียงจื่อหยวนพูดออกมาได้อย่างใด?”
หลินจือเฟยพูดมากขึ้นหนึ่งประโยค เจียงจื่อหยวนก็หน้าซีดลงหนึ่งส่วน
เมื่อพูดถึงคำสุดท้าย ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดไปทั้งหน้า ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย
“เจ้า เจ้า…”
นางอ้าปากขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างใดดี
เพราะสิ่งที่หลินจือเฟยพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด!
นางแพ้ให้กับฉู่หลิวเยว่ อีกทั้งแพ้มากกว่าหนึ่งครั้ง!
เมื่อเห็นว่าเจียงจื่อหยวนไม่ได้เถียงอันใด คนที่อยู่รอบข้างก็เหมือนตระหนักอันใดได้บางอย่าง จึงต่างมองหน้ากัน
นี่มัน…
เรื่องราวของฝั่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะไม่ค่อยรู้
ข่าวคราวที่ได้ยินบางส่วน ก็ล้วนฟังมาจากเจียงจื่อหยวน
แต่เมื่อตอนนี้ได้ยินหลินจือเฟยพูดเช่นนี้ เหตุใดไม่เห็นเหมือนกับสิ่งที่เจียงจื่อหยวนพูดก่อนหน้านี้เลยล่ะ
“ศิษย์พี่เจียงจื่อหยวน ในเมื่อเจ้าแพ้แล้ว ก็สามารถพูดว่าตนเองชนะ เช่นนั้น…ต่อให้ข้าแพ้แล้ว ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดใช่หรือไม่?”
หลินจือเฟยถามขึ้น
“ไม่ทราบว่า พวกเราจะต้องลองต่อสู้กันก่อนหรือไม่ว่าใครกันแน่จะเป็นฝ่ายชนะ?”
…
สวนอสูร
บรรยากาศเงียบสงบ
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้หันมองทางทิศทางหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย
“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุใดทางด้านฉู่เยว่ถึงได้เงียบขนาดนี้?”