ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1278 ข้ายังคงดูแล
เทาเทากลอกตาไปมา เหมือนว่าพอใจกับชื่อนี้อยู่ไม่น้อย
ความจริงแล้วตอนแรกมันทั้งอิจฉาและริษยาฉู่หลิวเยว่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มันกำลังเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง มันขอความช่วยเหลือจากแม่แท้ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบรับเลย
มันกับแม่ใช้ชีวิตประคับประคองกันมา ตั้งแต่มันจำความได้ แม่ก็ดีกับมันมาโดยตลอด
มันมักจะซุกซนและออกไปก่อเรื่องข้างนอก แม่ก็ยังคอยปกป้องมันอยู่เสมอ ไม่ยอมให้สัตว์อสูรตัวใดมารังแกมันได้
แต่เมื่อมนุษย์คนนี้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
มันเพิ่งได้รู้ว่าในใจของแม่ คนผู้นี้สำคัญกว่ามันเสียอีก
ตอนที่มันคิดว่ามันกำลังจะตายแล้ว ความคิดเช่นนี้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
แต่ทว่า…
นางได้ช่วยมันไว้
อีกครั้งในแววตาของนางเต็มไปด้วยคำขอโทษและรู้สึกผิด
คาดไม่ถึงว่าเทาเทาจะรู้สึกโกรธไม่ลงอีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นบนร่างกายของนางนั้นหอมมาก ทำให้มันรู้สึกอยากใกล้ชิด…ใช่แล้ว นี่จึงทำให้มันพุ่งเข้าไปหานางในตอนแรก
แต่น่าเสียดายเพราะเหมือนว่านางจะเข้าใจผิดไป
แม่ของมันก็เตะมันหลายครั้งเพื่อนาง
เทาเทาเหลือบสายตามองแม่ของตนเอง นึกถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและโศกเศร้า ตอนที่แม่ของมันวิ่งมาหา มันก็รู้สึกโล่งใจในทันที
มันหลับตาลง จากนั้นก็ลูบมือของฉู่หลิวเยว่เบาๆ
หัวใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
นางเดินไปด้านข้าง แล้วหยิบเตาหลอมโอสถกับสมุนไพรออกมา จากนั้นก็เริ่มปรุงยา
พรึ่บ!
เปลวเพลิงสีแดงชาดลุกโชนภายในเตาหลอมโอสถ!
ถ้ำขนาดใหญ่ก็สว่างขึ้นในทันที
ฉู่หลิวเยว่ใส่สมุนไพรจำนวนมากลงไปอย่างเป็นระเบียบ
กลิ่นยาเข้มข้นผสมกลิ่นขมเล็กน้อยลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังเปลวเพลิงที่อยู่ใต้เตาหลอมโอสถ จากนั้นก็ค่อยๆ ผสมยาเข้าด้วยกัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
ต้องพูดเลยว่า…
หลังจากทะลวงผ่านจอมยุทธ์ระดับแปดได้แล้วมันช่างทำให้นางมีความสุขมากจริงๆ!
การสัมผัสสิ่งรอบตัวของนางนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ทั่วทั้งร่างกายเหมือนกับได้ผ่านบัพติศพิธี*มา นางรู้สึกเบาสบายมาก
แม้กระทั่งตอนหลอมโอสถ ก็ยังผ่อนคลายกว่าแต่ก่อนเยอะ
การทะลวงด่านในครั้งนี้ ในที่สุดก็สามารถย่อยพลังดั้งเดิมที่แย่งมาจากองค์รัชทายาทเป่ยหมิงได้สำเร็จ
แต่ความจริงแล้วภายในไข่มุกธารายังคงเก็บสะสมพลังที่มีจำนวนมากกว่านี้เสียอีก
ครั้งนี้ฉู่หลิวเยว่โชคดีมากที่สามารถทะลวงด่านภายในสวนอสูรได้สำเร็จ
ประเด็นที่สำคัญเลยก็คือ มีเพียงผู้อาวุโสทั้งหลายที่เห็นการทะลวงด่านของนางด้วยตนเอง
การทะลวงด่านจอมยุทธ์ระดับแปด เดิมทีไม่ได้สร้างการเคลื่อนไหวที่รุนแรงขนาดนี้
ยิ่งมีคนรู้มากเท่าไร นางก็ยากจะปกปิดตัวตนได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่นางก็รู้สึกวางใจกับผู้อาวุโสเหล่านี้
เพียงแต่ว่าหากนางจะทะลวงด่านอีกครั้ง…เกรงว่าจะต้องเตรียมตัวให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เอาน้ำแกงที่ต้มเสร็จแล้วป้อนให้กับเทาเทา จากนั้นก็ไปจัดเตรียมสมุนไพรอีกครั้ง และช่วยทำแผลบนร่างกายของมัน
ยังดีที่นางมีสมุนไพรจำนวนไม่น้อยพกติดตัวอยู่ตลอด จึงมีให้พอใช้
หลังจากออกไปแล้วฉู่หลิวเยว่ตัดสินใจว่าจะไปขอสมุนไพรคืนจากผู้อาวุโสวั่นเจิง
หลังจากทำแผลให้เทาเทาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ฉู่หลิวเยว่ช่วยอาฉยงหลอมโอสถเพื่อโคจรเลือดลม
แม้ว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก่อนหน้านี้มันก็เฝ้าดูลูกตัวเองถูกทุบตี และเกือบถูกฆ่าตาย จึงสร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณของมันอย่างใหญ่หลวง
หลังจากจัดการทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็หันกลับไปมองและเห็นว่าเทาเทาหลับไปแล้ว
สีหน้าของอาฉยงมองมันด้วยความรักและเจ็บปวด
ฉู่หลิวเยว่ลูบตัวอาฉยง
“วันนี้ก็พักผ่อนให้เยอะๆ นะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
…
คืนนี้จะต้องเป็นคืนที่น่าหวาดระแวงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ระหว่างทางกลับผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและผุ้อาวุสอีกท่านต่างเงียบกริบไม่พูดไม่จาเลย
จนกระทั่งตอนที่พวกเขาบอกลากัน ในที่สุดผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็เรียกอีกฝ่ายขึ้นมา
“วั่นเจิง”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหันกลับไปมอง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกับกำลังลังเลอันใดบางอย่าง
“สถานการณ์ของฉู่เยว่…เจ้ารู้มาก่อนหรือไม่?”
แน่นอนว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอันใดอยู่ เขาจึงส่ายหน้า
“ไม่รู้”
“เขาเพิ่งทะลวงด่านจอมยุทธ์ระดับแปดได้ แล้วยังก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้…” ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “หาเวลาถามเขาว่าตอนที่ทะลวงด่านระดับเจ็ดนั้น เขาเรียกทัณฑ์สวรรค์มากี่สาย” ผู้อาวุโสวั่นเจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ตอนแรกฉู่เยว่ที่เข้ามา เขาบอกว่าตนเองอยู่ในจอมยุทธ์ระดับเจ็ด
ตอนนั้นยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ดูถูกเขา
แม้พวกเขาจะรู้ว่าฉู่เยว่มีความเชี่ยวชาญด้านเซียนหมอ และอาจจะไม่เก่งในด้านอื่นๆ
แต่เมื่อดูจากตรงนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น!
“เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์แทบจะทุกด้าน วั่นเจิง เจ้าเก็บศิษย์ที่ยอดเยี่ยมมาได้แล้ว!”
แม้กระทั่งผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้
หากสามารถรับศิษย์เช่นนี้เพียงคนเดียว มันก็เพียงพอแล้ว!
ผู้อาวุโสวั่นเจิงรู้สึกมีความสุขอย่างมาก แววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“นั่นน่ะสิ เพราะข้ามีสายตาที่เฉียบแหลมมาโดยตลอด!”
เขาอยู่ที่สำนักมาหลายปี สั่งสอนศิษย์ก็จำนวนไม่น้อย แต่คนที่จะเป็นศิษย์ของเขานั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ช่วงหลายปีมานี้เขาไม่รับเลยสักคน
“นั่นก็เป็นเรื่องจริง ตั้งแต่นังหนูในปีนั้น ฉู่เยว่เป็นเพียงคนเดียวที่เข้าตาข้า เดิมทีข้าคิดว่าเขามีจิตวิญญาณแห่งเซียนหมอเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่า…”
สีหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงกำลังนึกหวนย้อนอดีต
“หากคิดให้ละเอียดแล้ว เด็กทั้งสองคนนั้นก็มีความคล้ายคลึงกันมาก! แม้กระทั่งฐานะของเขาทั้งสองก็ไม่ชัดเจนเหมือนกัน!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหัวเราะขึ้นมา
“มันผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้ว หากอยากรู้ชีวิตของเขา ก็หาเวลาไปถามหรงซิว ก็จะทราบแล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหัวเราะขึ้นมา แล้วหมุนตัวเดินออกไป
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องหรอก ถ้าเจ้าเด็กคนนั้นอยากพูดก็ให้พูดออกมา ถ้าเขาไม่อยากพูด ข้าก็ยังจะดูแลเขาเช่นเดิม!”