ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1281 ราชาแห่งขุนเขา
อินทรีสามตาตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนกว่าที่มันคิดไว้มาก
นั่นเพราะ…
มันพบว่าเหมือนฉู่หลิวเยว่จะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้นัก ประหนึ่งว่าเมื่อก่อนนางเคยมาที่นี่หลายต่อหลายครั้ง
นางดูคุ้นเคยกับเส้นทาง และมุ่งหน้าไปยังถ้ำของเสือดาวสุวรรณเมฆาอย่างแม่นยำ
ยิ่งเข้าไปใกล้ ลมปราณของเสือดาวสุวรรณเมฆาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
และมันทำให้อินทรีสามตาเชื่อในคำพูดของนางที่ว่า… นางรู้ตำแหน่งของมันจริงๆ!
หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฉู่หลิวเยว่และอสูรสันหลังเหล็กวัยเจริญพันธุ์นั่น อินทรีสามตาก็เดาได้ว่าฉู่หลิวเยว่น่าจะเคยมาที่นี่แล้วจริงๆ
แต่มันจะดูคุ้นเคยเกินไปหรือไม่?
ท่ามกลางภูเขาสูงที่เรียงรายกันเป็นระลอกคลื่น และภูมิประเทศที่มีความสลับซับซ้อนมากมายเช่นนี้ หากไม่ระวังย่อมเกิดการพลัดหลงได้
และประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ส่วนใหญ่ภูเขาเหล่านี้ถูกอสูรศักดิ์สิทธิ์นานาเผ่าพันธุ์ครอบครองไว้เป็นฐานที่ตั้งของของพวกมันหมดแล้ว
ซึ่งบางครั้ง ฉู่หลิวเยว่ก็จำต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้น แล้วเปลี่ยนไปใช้ทางอื่นเพื่อไม่ให้เป็นการรุกรานอีกฝ่าย
แต่มันกลับดูง่ายสำหรับนาง เพราะนางรู้ตำแหน่งของภูเขาทุกลูกและแม่น้ำทุกสายของที่นี่เป็นอย่างดี
แต่อินทรีสามตาก็ยังไม่หายแคลงใจว่าไยนางถึงรู้จักอสูรศักดิ์สิทธิ์บนเขาทุกลูกเช่นนี้
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็มาถึงภูเขาดังกล่าว
มันเป็นภูเขาที่สูงชันมาก ยอดเขาราบเรียบแฉลบลงด้านหนึ่ง เสมือนถูกบางอย่างเฉือนยอดออกไป เผยให้เห็นชั้นหินสีเทาขาว
ด้านบนนั้นมีต้นไม้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นก้อนหินเสียมากกว่า
มันคือลักษณะภูมิประเทศที่เสือดาวสุวรรณเมฆาโปรดปราน
พวกมันชอบวิ่งกลับไปกลับมาบนหน้าผาสูงชันเช่นนี้ นับเป็นการฝึกฝนทักษะการปีนป่ายอันน่าทึ่งและทรงพลังของพวกมัน
แต่มาพูดเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
อาจเป็นเพราะข่าวที่ว่าอสูรด่างหูเงินได้รับบาดเจ็บได้แพร่กระจายออกไป ดังนั้นเมื่อฉู่หลิวเยว่มาถึงที่นี่ จึงไม่มีสัตว์อสูรตนใดออกมาเผชิญหน้ากับนางเลยสักตัว
หลังจากเก็บกวาดพื้นที่บนหน้าผาแห่งนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ปรบมืออย่างอารมณ์ดี พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ
“จะเริ่มตรงไหนก่อนดีน้า…”
อินทรีสามตาถามอย่างฉงนใจ
“กระไรหรือ?”
“อ๋อ ไม่มีอันใดหรอก ข้าแค่คิดว่าเรายังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกยี่สิบวัน ถ้าให้ฝึกอยู่แต่ในถ้ำคงน่าเบื่อตาย ดังนั้นข้าเลยอยากหาสัตว์อสูรสักตัวมาเป็นลูกมือเสียหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“แน่นอนว่าไม่ใช่ประเภทที่ต้องใช้กระบี่ชื่อเซียว”
นางแตะปลายคางราวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ข้าจำได้ว่าในบรรดาสัตว์อสูรที่เข้ามาล้อมข้าเมื่อวาน มีพวกที่เข้าท่าอยู่บ้าง และซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากที่นี่… เอาล่ะ มาเริ่มที่หงส์ฟ้ากันเถอะ!”
…
หงส์ฟ้าเป็นสัตว์อสูรระดับเก้า แต่มันมีนิสัยดุร้ายและก้าวร้าวมาก แถมยังมีสายเลือดของอสูรเผ่าหงส์เพลิงไหลเวียนอยู่ในกายด้วย ฉะนั้นศักดิ์ดินาของมันจึงมิได้ต่ำต้อยเหมือนวิหคทั่วไป
ในสวนอสูรที่เต็มไปด้วยอสูรศักดิ์สิทธิ์มากมาย ก็ยังมีเรื่องการแบ่งชนชั้นวรรณะและเขตแดนของตัวเองอยู่
และทันทีที่ฉู่หลิวเยว่มาถึงยอดเขาของพวกมัน หงส์ฟ้าตัวหนึ่งที่คอยดูลาดเลาบนยอดเขา ก็ส่งเสียงร้องดังลั่น
พรึบ…
หงส์ฟ้าหลายสิบตัวพลันบินออกมาจากจุดต่างๆ บนยอดเขา!
และบินเข้ามารวมฝูงกันเป็นฝูงใหญ่ในชั่วพริบตา พลางจ้องมองฉู่หลิวเยว่จากระยะไกล ราวกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม
ฉู่หลิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิด วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อหารือกับพวกเจ้า มิได้มีเจตนาอื่นใด พวกเจ้าอย่าได้กังวลเลย”
หงส์ฟ้าหลายตนมองหน้ากันไปมา ทว่าบรรยากาศยังคงตึงเครียด
ฉู่หลิวเยว่จึงอธิบายเพิ่มเติม
“วันนี้ข้าจะไม่ใช้กระบี่ ส่วนพวกเจ้าจะส่งใครออกมาสู้กับข้าก็ได้ เราจะสู้กันให้ถึงที่สุด แต่ไม่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต พวกเจ้าว่าอย่างใด?”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ผ่อนปรนให้กันเช่นนี้ หลังจากที่หงส์ฟ้าหลายตัวหารือกันสักพัก ในที่สุดก็มีหงส์ตัวหนึ่งบินออกมา
หงส์ฟ้านั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก ประมาณฝ่ามือเห็นจะได้ ทว่าเมื่อใดที่คิดสบประมาทความเล็กจิ๋วของมัน คนผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยบทเรียนราคาแพง
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ พลันมีคลื่นพลังปราณดั้งเดิมจำนวนมหาศาลผุดขึ้นรอบตัวนาง!
ผึ่ง!
หงส์ฟ้าตัวนั้นชิงโจมตีใส่นางก่อน!
“เข้ามาเลย!”
ฉู่หลิวเยว่คำรามลั่น พลันพุ่งตัวออกไปกลางเวหาราวลูกศรอันแหลมคม!
หนึ่งคนและหนึ่งอสูรเผชิญหน้ากันทันที!
…
“วันนี้เจ้าเด็กนี่ดูเงียบแปลกๆ…”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้โพล่งขึ้นลอยๆ ขณะกำลังลาดตระเวนบริเวณนอกรอบของสวนอสูร
“คงจะได้รับบทเรียนแล้วกระมัง”
ถึงจะฉุนเฉียวเพียงใด แต่ในเมื่อการต่อสู้อันน่าตกใจที่เกิดขึ้นเมื่อวานสิ้นสุดลงแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างก็น่าจะสงบลงได้แล้วมิใช่หรือ?
ดั่งเช่นวันนี้ที่เหมือนว่าอสูรเหล่านี้จะเงียบลงแล้ว แม้แต่เสียงคำรามอันเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกมัน ก็แทบจะไม่ได้ยินเลยสักนิด
พวกมันคงหวั่นเกรงกระบี่ชื่อเซียวของฉู่เยว่…
แต่ผู้อาวุโวอวี๋อวี้ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก
อันที่จริง พวกเขาเลี้ยงดูสัตว์อสูรที่อยู่ในสวนอสูรโดยให้อิสระแก่พวกมันมาโดยตลอด
สัตว์อสูรเหล่านี้ฉลาดและมีความคิดเป็นของตัวเอง พวกมันสร้างสมดุลธรรมชาติให้กันได้โดยไม่ต้องให้คนนอกเข้าไปแทรกแซง
ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนแข่งขันกันเพื่อชิงอำนาจ และจำกัดผู้อ่อนแอเพื่อลดจำนวน
และตอนนี้ก็มีฉู่เยว่เพิ่มเข้าไปชั่วคราว
แต่ตราบใดที่เขาวางตัวดีขณะอยู่ที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วอสูรเหล่านั้นจะไม่ไปรังควานเขาอีก
กระทั่งครบกำหนดหนึ่งเดือน ฉู่เยว่ก็จะออกไปจากที่นี่ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้คิดเช่นนั้น พลางขมวดคิ้วหน่อยๆ
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ จิตใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่พอคิดได้เช่นนั้นในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายความวิตกกังวลในใจเหล่านั้นลง พร้อมความเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าอยากพักผ่อนที่แล่นเข้ามาแทนที่
มันเองก็ถึงเวลาพักผ่อนของเขาเช่นกัน…
ด้วยความคิดนี้ ผู้อาวุโสอวี๋อวี้จึงตรวจสอบค่ายกลในเขตพื้นที่ที่เขารับผิดชอบอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับไปพักผ่อนตามที่ตั้งใจไว้
…
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉู่หลิวเยว่ก็เดินออกจากยอดเขาของเหล่าหงส์ฟ้า
อาภรณ์ของนางเลอะเปรอะเปื้อนและขาดวิ่นเล็กน้อย
แต่โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บ
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับไปมอง มือเรียวแตะแหวนเฉียนคุนของตน พลันระบายยิ้มพึงพอใจออกมา
“ดูไม่ออกเลยว่าหงส์ฟ้าจะซ่อนสมบัติดีๆ ไว้ด้วย…”
ไกลออกไป เหล่าหงส์ฟ้าหลายตัวล้วนจับตามองฉู่หลิวเยว่ผู้ดื้อด้าน พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลับไปสักที!
เดิมทีนึกว่าจะเป็นเพียงอันธพาลกระจอกๆ แต่ใครจะรู้ว่านางจะเป็นตัวล้างบางเช่นนี้!
ทั้งเผด็จการและไร้เหตุผล!
นางปล้นพวกมันไปจนแทบจะหมดรังแล้ว!
“แล้วเจอกันใหม่นะ!”
ฉู่หลิวเยว่โบกมือให้พวกมันอย่างมีความสุข
หงส์ฟ้าหลายตนกระพือปีกแยกย้ายกันอย่างหัวเสีย พลางร้องคำราม
เจอหรือ?
เจอกับผีน่ะสิ!?
จงไปตามทางของเจ้าเถิด!
หงส์ฟ้าตัวสุดท้ายหล่นลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะออกแรงยกปีกแล้วบินออกไปอย่างโซซัดโซเซ เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นได้ว่าขนบนปีกของมันหายไปครึ่งหนึ่ง
และมันคือคู่ต่อสู้ที่ฉู่หลิวเยว่ “เจรจา” ด้วยเมื่อครู่
ร่างเพรียวบางยักไหล่อย่างเหนื่อยหน่าย
“น่าเบื่อไม่ต่างจากตัวก่อนเลย”
อินทรีสามตา “…”
เจ้าทุบตีและปล้นสมบัติของผู้อื่นเช่นนั้น สุดท้ายยังมีหน้ามาบ่นว่า “น่าเบื่อ” อีกหรือ!?
ฉู่หลิวเยว่เตะก้อนกรวดตรงปลายเท้าอย่างเบื่อหน่าย แล้วเดินไปข้างหน้า
“วันนี้พอแค่นี้!”
อินทรีสามตาใจกระตุกวูบ
ถึงมันจะเฉยชาต่อทุกสิ่งมาโดยตลอด แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็ต้องมีตกใจกันบ้าง
“วันนี้… พอแค่นี้? พรุ่งนี้เจ้าจะมาต่ออีกหรือ?”
“ไม่มาแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
อินทรีสามตาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดต่อว่า
“ข้าเอาสมบัติของที่นี่มาหมดแล้ว และถือว่าได้ล้างแค้นเรื่องที่ล้อมข้าวันนั้นแล้วด้วย ให้กลับมาที่นี่อีกก็ไม่มีประโยชน์”
“พรุ่งนี้เราจะเปลี่ยนไปที่อื่น!”