ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1284 ตรวจสอบ
“แต่ผู้ใดจักรู้ว่าตอนนี้ซั่งกวนเยว่ยังอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์หรือไม่?”
ยามนี้ในหัวของเจียงจื่อหยวนเต็มไปด้วยความคิดแค้นเคืองอย่างเด่นชัด
นางกัดฟันแน่นอย่างมิอาจซ่อนความริษยาไว้ได้
“หรงซิวรักนางมากโดยมิสนใจเลยว่าจะทำให้เหล่าผู้อาวุโสขุ่นเคืองอย่างใด หากเขาเป็นฝ่ายยอมให้นางออกมาเอง แล้วใครจะทำอันใดได้?”
อีกทั้งนอกจากตัวเขาเองแล้ว มีเพียงเหล่าสหายคนสนิทของเขาเท่านั้น ที่สามารถขึ้นไปยังตำหนักของเขาได้ ซึ่งหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วคนนอกจักรู้เห็นได้อย่างใด?
ยิ่งเจียงจื่อหยวนคิดมากเท่าไร นางก็ยิ่งสงสัยใคร่หาความจริงมากขึ้นเท่านั้น
“จุดประสงค์ที่ข้าเขียนจดหมายถึงท่านในครานี้ ก็เพราะอยากขอให้ท่านช่วยตรวจสอบสถานการณ์ฝั่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ให้หน่อย แต่จดหมายนั่นกลับถูกใครบางคนสกัดกั้นไว้ เห็นได้ชัดว่า… มีคนจงใจขัดขวางไม่ให้ข้าตรวจสอบเรื่องของฉู่เยว่!”
คำพูดของเจียงจื่อหยวนเริ่มทำให้เจียงเห่อเทียนเอะใจ
“ที่เจ้าว่ามาก็ฟังดูสมเหตุสมผล ทว่าตอนนี้… ทางพระราชวังเมฆาสวรรค์มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดมาก หากฝ่าฝืนย่อมได้รับโทษถึงตาย แค่หาข่าวคราวทั่วไปยังยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดข้อมูลสำคัญเหล่านั้น… จื่อหยวน ครั้งนี้เจ้าจะทำให้พ่อตกที่นั่งลำบากจริงๆ แล้ว!”
เจียงจื่อหยวนชะงัก
“ไยจักเป็นเช่นนั้น? ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็สามารถเข้าออกที่นั่น…”
เจียงเห่อเทียนตวัดสายตามองนางทันที
เจียงจื่อหยวนถึงกับปิดปากฉับ
“…หลังจากการคัดเลือกพระชายา สถานการณ์ในพระราชวังเมฆาสวรรค์เปลี่ยนไปมาก หลายคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง…”
ภายนอกเหมือนหรงซิวไม่ได้ทำอันใด และง่วนอยู่แต่ทางฝั่งสำนักหลิงเซียวอย่างเดียว
แต่อันที่จริงเขาได้แอบวางแผนจัดการทุกอย่างไว้แล้ว การโจมตีของเขานั้นแม่นยำและโหดเหี้ยมมาก จนคนเหล่านั้นตั้งรับไม่ทัน
ตอนนี้คนเหล่านั้นก็ตกระกำลำบากมากพอแล้ว มีหรือจะช่วยเหลือพวกเขาได้?
นับตั้งแต่เจียงจื่อหยวนพลาดตำแหน่งพระชายา ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อเซียนสุ่ยหลิงก็แย่ลงทุกวัน
หัวใจของเจียงจื่อหยวนค่อยๆ จมดิ่งลงช้าๆ
“มันไม่มีทางอื่นแล้วหรือ?”
“เห้อ…”
เจียงเห่อเทียนส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
“หากตอนนี้ท่านประมุขยอมโผล่หน้าออกมาบ้าง บางทีท่านอาจช่วยพูดให้เราได้บ้าง แต่ยามนี้…”
ไม่มีใครรู้ว่าท่านประมุขจะออกมาเมื่อใด แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว จะให้พวกเขาทนรออยู่เฉยๆ ได้เยี่ยงไร?
สองพ่อลูกตกอยู่ในความเงียบ
ทั่วทั้งห้องรับรองเงียบกริบ
แต่ไม่นาน เจียงจื่อหยวนก็พูดขึ้นทันทีว่า
“เช่นนั้นก็ตรวจสอบซั่งกวนเยว่!”
เจียงเห่อเทียนตกใจ “กระไรนะ?”
เจียงจื่อหยวนหรี่ตาลงแล้วเอ่ยย้ำทีละคำ
“หรงซิวพูดเองว่าซั่งกวนเยว่ผู้นี้ คือแม่นางที่เขาหมั้นหมายด้วยตั้งแต่ตอนที่อยู่แคว้นเย่าเฉิน ถ้าอยากรู้เรื่องภูมิหลังของซั่งกวนเยว่ ก็ต้องส่งคนไปตรวจสอบที่นั่น แล้วเราจะได้รู้ความจริงแน่นอน!”
“ไม่แน่ว่าฉู่เยว่ก็อาจมาจากที่นั่นเหมือนกัน เช่นนั้นก็สามารถสืบเรื่องของสองคนนี้ไปพร้อมๆ กันได้เลย!”
ยิ่งเจียงจื่อหยวนคิดวิเคราะห์ ก็ยิ่งเห็นความเป็นไปได้มากขึ้น
“ท่านพ่อ หากรู้เขารู้เรา ต่อให้รบร้อยครั้งก็ไม่มีวันแพ้!”
เจียงเห่อเทียนยังคงลังเลอยู่นิดหน่อย
“มันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้า… หรงซิวรู้ว่าเราแอบสืบประวัติของพระชายาล่ะก็…”
“รู้แล้วเยี่ยงไร?” เจียงจื่อหยวนยิ้มเยาะหนึ่งที “เดิมทีพระชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ควรมีชาติกำเนิดที่สูงศักดิ์และตรงตามครรลองครองธรรม! ถ้าแค่สืบประวัติยังทำไม่ได้ เช่นนั้นก็ชี้ชัดแล้วว่าตัวตนของนางไม่บริสุทธิ์ใจ และไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายา!”
เจียงเห่อเทียนลอบถอนหายใจ
ลูกสาวของเขาเป็นคนเก่ง แต่นางจะหุนหันพลันแล่นและไร้การไตร่ตรองเมื่อเป็นเรื่องของหรงซิว
บัดนี้ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นมิใช่หนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งพระชายาแล้ว หากแต่เป็นชายาเอกของพระราชวังเมฆาสรรค์อย่างเต็มตัวแล้วต่างหาก!
ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ก็ไม่มีสิ่งใดล้มล้างข้อเท็จจริงนี้ได้
แต่ลูกของเขากลับยังไม่ยอมตระหนักถึงสิ่งนี้
“ท่านพ่อเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นว่าเจียงเห่อเทียนไม่ตอบอันใดกลับมา เจียงจื่อหยวนก็ร้อนใจจนอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นเขา
เจียงเห่อเทียนที่เห็นสีหน้าของบุตรสาวก็พลันเจ็บปวดใจ และทำเพียงพยักหน้าตอบว่า
“ตกลง เดี๋ยวพ่อจะส่งคนไปตรวจสอบดู”
เจียงจื่อหยวนระบายยิ้มอย่างพอใจ
“ขอบพระคุณท่านพ่อมาก! จื่อหยวนรู้ว่าท่านพ่อรักจื่อหยวนที่สุด!”
เจียงเห่อเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วลูบศีรษะของนาง
“เอาล่ะ ทีนี้ก็วางใจได้แล้วสิ? ดูจากหน้าตาและสภาพแล้ว เจ้าคงรีบจ้ำอ้าวกลับมาโดยไม่แวะพักเลยใช่หรือไม่? ระหว่างทางเจ้าคงลำบากมาก? เช่นนั้นก็เข้าไปอาบน้ำอุ่นแล้วพักผ่อนเถอะ”
ดวงตาของเจียงจื่อหยวนเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะพยักหน้าตอบพัลวัน
ทว่าประโยคถัดไปที่ออกมาจากปากของผู้เป็นบิดา กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้านางหยุดชะงัก
“จริงสิ แล้วคราวนี้ เจ้าบอกผู้อาวุโสตันชิงว่าขอลากลับบ้านกี่วันหรือ?”
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เจียงจื่อหยวนก็พูดออกมาอย่างคลุมเครือ
“ข้าไม่ได้บอกเวลาที่แน่นอน… ข้าแค่อยากกลับมา ถ้าจัดการธุระเสร็จเมื่อใดก็จะกลับไปเรียนตามเดิม ท่านอาจารย์เองก็ตอบตกลง”
“หือ? เจ้าไม่ได้บอกเวลาที่แน่นอนหรือ?”
เจียงเห่อเทียนประหลาดใจมาก
“แต่เจ้าต้องฝึกฝนตามที่ทางสำนักมอบหมาย ห้ามอู้เด็ดขาด”
ก่อนหน้านี้เจียงจื่อหยวนเคยลาไปคัดเลือกพระชายาแล้วครั้งหนึ่ง และไม่นานก็ขอลาอีก แถมยังไม่มีกำหนดตายตัวอีก ไม่รู้เลยว่าผู้อาวุโสตันชิงจะคิดเช่นไร
แต่ถ้าพูดออกไป ผลที่ตามมาคงไม่ดีนัก
“ความแข็งแกร่งอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น หากเจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าก็จะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ!”
“ท่านพ่อกังวลมากไปแล้ว ข้าไม่เป็นไรหรอก”
เจียงจื่อหยวนฝืนยิ้ม
“ลูกสาวของท่านเคยด้อยกว่าผู้อื่นด้วยหรือ? ไว้ทำธุระที่บ้านเสร็จสิ้นเมื่อไร ข้าก็จะกลับไปเรียนทันที”
เจียงเห่อเทียนพยักหน้าด้วยความอุ่นใจ
“เจ้าเป็นเด็กดีมาโดยตลอด เรื่องอื่นพ่อจะไม่พูดให้มากความ แค่เจ้าตระหนักได้ด้วยตัวเองก็พอแล้ว”
เจียงจื่อหยวนทำเพียงพยักหน้าตอบ
สองพ่อลูกพูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนจะแยกย้ายกันไป
เจียงจื่อหยวนกลับไปพักผ่อน และเจียงเห่อเทียนก็เริ่มส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องของซั่งกวนเยว่
จวนตระกูลเจียงสงบลงอีกครั้ง ราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอันใดเกิดขึ้น
…
ณ สำนักหลิงเซียว
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตาเดียว วันสุดท้ายที่ฉู่หลิวเยว่ถูกขังอยู่ในสวนอสูรแห่งนี้ก็มาถึง
ครั้นอรุณเบิกฟ้า ฉู่หลิวเยว่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า
ก่อนจะปรับสมดุลพลังปราณดั้งเดิมและลมปราณของตน
หลังจากปล่อยให้เลือดลมในกายหมุนเวียนผสานเข้ากับพลังปราณของตนอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและปล่อยลมหายใจออกยาวๆ
ทั้งสดชื่นและสบายใจ
ต้องบอกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ นางรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระอย่างมาก
อย่างใดเสีย ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากมายเช่นนี้
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านนอก
“ฉู่เยว่! วันนี้เจ้าออกไปได้แล้ว!”
มันคือเสียงตะโกนจากผู้อาวุโสอวี๋อวี้ ที่เรียกให้นางออกไปข้างนอก
อาฉยงและเทาเทาหันมามองนางพร้อมกัน
ฉู่หลิวเยว่ผุดลุกขึ้นยืนแล้วจัดเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อย ก่อนจะหันไปยิ้มแย้มให้พวกมัน
“วันนี้ข้าต้องไปแล้วนะ!”
ดวงตาของอาฉยงฉายแววไม่เต็มใจ ส่วนเทาเทาก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยลุกขึ้นยืนพลางเดินไปตรงปากถ้ำ แล้วทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น โดยใช้ภาษากายแสดงให้นางเห็นว่ามันไม่ยินยอม
ฉู่หลิวเยว่ตกใจระคนเอ็นดู
“เทาเทา เจ้าไม่อยากให้ข้าไปหรือ?”
เทาเทาเบี่ยงหน้าหลบไม่พูดไม่จา ด้วยท่าทางดื้อดึง
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกอบอุ่นในใจ
ความจริงแล้ว หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมาช่วงหนึ่ง นางกับเทาเทาก็สนิทกันมากขึ้น
กระทั่งถึงยามจากลา นางเองก็แอบลังเลไม่อยากไปอยู่เหมือนกัน
“ไม่ต้องห่วงนะ กลับไปแล้วข้าก็ยังอยู่ในสำนักวิชา ไว้มีโอกาสข้าจะกลับมาหาพวกเจ้าอีก”
“ฉู่เยว่?”
ครั้นเจ้าของชื่อไม่ออกมาเสียที ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ก็เอ่ยเร่งอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เดินไปลูบอาฉยงและเทาเทาเบาๆ
จากนั้นเทาเทาก็ยอมหลีกทางให้นางแต่โดยดี ดวงตากลมหลุบมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความเสียใจ
“แหมะ”
น้ำตาเม็ดใหญ่ขนาดเท่ากำปั้น พลันหยดแหมะลงบนมือเรียวของฉู่หลิวเยว่