ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1285 รู้ความ
บรรยากาศอันเศร้าสร้อยพลันพังทลายลงทันที
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกโค้งขึ้นกระตุกยิ้มบางเบา ใบหน้านวลเงยขึ้นมองเทาเทาแล้วเอ็ดเสียงจริงจัง
“เทาเทา เจ้ากลืนกินศิลาทองดำก้อนใหญ่ก้อนนั้นเข้าไปแล้ว หลังจากนี้ไปเจ้าจักโตเป็นหนุ่มแล้วนะ อย่าร้องไห้ง่ายๆ เช่นนั้น เข้าใจหรือไม่?”
เทาเทาพยักหน้าระรัว หากแต่หลั่งน้ำตาออกมายกใหญ่ราวไม่จบสิ้น
ฉู่หลิวเยว่ที่ไม่ทันตั้งตัวถูกหยดน้ำตาเหล่านั้นสาดเทลงมาใส่กันอีกครั้ง
นางลูบเช็ดใบหน้าของตนป้อยๆ
“เช่นนั้น… ข้าไปก่อนนะ”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ที่ยืนรออยู่ ก็เตรียมจะเข้าไปตามนางออกมา แต่สุดท้ายฉู่หลิวเยว่ก็ปรากฏกายออกมาก่อน
เขามองดูใบหน้าที่เปียกชื้นของฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจ
“ฉู่เยว่ นี่เจ้า… เป็นอันใดหรือเปล่า?”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมหนึ่งที
“ไม่มีอันใดขอรับ เมื่อครู่ข้าไปล้างหน้ามา แต่ท่านมาเร็วมาก ลำบากท่านต้องรีบมารับข้าเลย”
แต่ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ไม่ได้คิดมาก และกล่าวด้วยร้อยยิ้มว่า
“อย่างใดเสียมันก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว อาจารย์ของเจ้าเองก็รอเจ้าอยู่ ข้ารับปากเขาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี และตอนนี้ข้าต้องพาเจ้ากลับไปส่งเขาโดยปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
เขาเชิดปลายคางขึ้น
“ไปกันเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับ
จากนั้นทั้งสองคนก็พุ่งตัวขึ้นไปบนอากาศ ทว่าในขณะที่กำลังจากไป จู่ๆ ก็มีเสียงร้องงอแงราวไม่ยินยอมดังขึ้นจากด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นอาฉยงและเทาเทาที่ยืนอยู่ตรงปากถ้ำเพื่อบอกลานาง
นางโบกมือให้พวกมัน
“ดูเหมือนพวกมันจะไม่อยากให้เจ้าไปนะ”
ใบหน้าของผู้อาวุโสอวี๋อวี้ปรากฏร่องรอยความสงสัย
“อสูรสันหลังเหล็กตัวนี้มีนิสัยเย็นชา ไม่เป็นมิตรและยากต่อการเข้าใกล้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะติดเจ้าถึงเพียงนี้”
ความจริงเขาอยากจะถามเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที
จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่า ฉู่เยว่ใช้วิธีการใดถึงซื้อใจของสองแม่ลูกอสูรสันหลังเหล็กได้
โดยเฉพาะอสูรสันหลังเหล็กโตเต็มวัยตัวนั้น เพื่อปกป้องฉู่เยว่แล้ว มันถึงกับยอมละทิ้งลูกของตัวเองด้วยซ้ำ…
ช่างน่าตกใจจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“อาจเพราะ… มีชะตาต้องกันกระมังขอรับ?”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่เหมือนไม่อยากจะอธิบายอันใดมากนัก ผู้อาวุโสอวี๋อวี้เองก็เข้าใจและไม่ได้ถามต่อ
อย่างใดเสียเขาก็รู้อยู่แล้วว่าฉู่เยว่ผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น
มีหลายสิ่งที่คนอื่นมองว่าพวกเขาทำไม่ได้ แต่เจ้าเด็กนี่กลับทำมันได้ง่ายๆ
และเป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ
เพราะบางคนนั้นเกิดมาพร้อมกับโชคลาภขนานแท้
“ลมปราณของเจ้าดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมนะ?”
เดิมทีผู้อาวุโสอวี๋อวี้อยากทดสอบความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ แต่เขาจำได้ว่าบนกายของนางมีอาวุธโบราณที่ช่วยปกปิดลมปราณของนางไว้อยู่ ทำให้เขาไม่ทราบเรื่องขีดจำกัดของนาง
แต่ก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจนสังเกตได้
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
“สถานที่แห่งนี้อุดมไปด้วยพลังปราณแห่งสวรรค์และโลก มันทั้งเงียบสงบและเหมาะกับการฝึกลมปราณ ศิษย์อยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้ว จะแข็งแกร่งขึ้นย่อมไม่แปลกมิใช่หรือขอรับ?”
“เงียบสงบ? อย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ทำหน้าตาตื่นตกใจ
นี่ฉู่เยว่เข้าใจเรื่องสวนอสูรผิดไปหรือเปล่า?
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แค่ดูจากความชุลมุนที่เกิดขึ้นในคืนวันที่เขาทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับแปดแล้ว ยิ่งไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเงียบสงบเลยแม้แต่น้อย!
“ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ? แต่ช่วงนี้สวนอสูรสงบขึ้นมากเลยนะขอรับ””
ฉู่หลิวเยว่ย้อนถามกลับไป
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้คิดอยู่พักหนึ่งราวลังเลใจ
“ก็เหมือน…จะสงบขึ้นนิดหน่อย…”
เมื่อก่อนยามออกลาดตระเวน เขามักจะได้ยินเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องของเหล่าสัตว์อสูรบางตัวเป็นครั้งคราว แต่เหมือนว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยมีเหตุการณ์แบบนั้น
“อาจเป็นเพราะเรื่องชุลมุนในคืนนั้น…”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้พึมพำเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอันใด แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“สิ่งที่ผู้อาวุโสอวี๋อวี้กล่าวนั้นสมเหตุสมผลยิ่ง หรือจะพูดว่าเป็นโชคดีของศิษย์ก็ได้”
พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดและพูดคุยกันไปพลาง ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าค่ายกลขนาดใหญ่
ค่ายกลตรงหน้านั้นโปร่งใส ฉู่หลิวเยว่มองลอดออกไป และเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยสองร่าง
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ยกมือขึ้น พลันเกิดรูปขึ้นตรงกลางค่ายกล
“ศิษย์เอ๋ย!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงร้องเรียกเข้าด้วยความตื่นเต้น
“รีบออกมาเร็ว! ให้ข้าตรวจดูสิว่าเจ้ายังอยู่ดีหรือไม่!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นในใจ และก้าวเท้าไปข้างหน้า
ผู้อาวุโสวั่นเจิงก้าวมาข้างหน้าสองก้าว แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวศิษย์รักอย่างละเอียด ครั้นแน่ใจว่านางปลอดภัยดี ถึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ข้ายังอยู่ดีครบทุกประการ”
“อยู่ในนั้นลำบากจะตายไป เอาที่ไหนมาปลอดภัยกัน?”
ยิ่งเห็นรอยยิ้มของนาง ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ยิ่งเป็นทุกข์
“แต่ไม่ต้องห่วง! จากนี้ไปเราจะไม่กลับมาที่นี่อีก!”
ฉู่หลิวเยว่ทำหน้าทำตาลังเลขึ้นมาทันที ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่หาได้ยากนัก
“คือว่า… ท่านอาจารย์ ความจริงที่นี่ดีมากๆ เลยนะขอรับ…”
ตลอดเวลาที่ได้อยู่ที่นี่นางมีความสุขมาก… แถมยังได้ของดีๆ มากมายติดมือมาอีกต่างหาก…
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมองดูท่าทางของนาง พลันคิดว่านางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่อยากทำให้ปั๋วเยี่ยนเสียหน้า เลยเลือกที่จะไม่กล่าวอันใด และทำเพียงตบแขนนางเบาๆ
“เด็กดี!”
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาสามารถอยู่ในสวนอสูรแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย และยังทะลวงขั้นพลังปราณได้สำเร็จอีก พูดไปใครจะไม่อิจฉาวั่นเจิงผู้นี้ที่ได้ศิษย์ดีกันล่ะ?
ครั้นฉู่หลิวเยว่เห็นว่าเขาคิดเองเออเองไปไกลแล้ว ย่อมยากที่จะอธิบายให้กระจ่าง นางจึงปล่อยให้เขาคิดเช่นนั้นต่อไป
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลวเลย”
ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง กวาดตามองนางขึ้นลงพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้แล้วเอ่ยชื่นชม
“ดูสงบขึ้นมากและมีสติมากขึ้นด้วย”
ประหนึ่งว่าครั้งนี้เขาคิดถูกแล้วที่ส่งฉู่เยว่มาที่นี่
“จำบทเรียนนี้ไว้ แล้วหลังจากนี้อย่าฝ่าฝืนกฎอีกเด็ดขาด”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับอย่างขึงขัง
“ขอบคุณผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนสำหรับบทเรียนอันมีค่าขอรับ ครั้งนี้ศิษย์ได้รับสิ่งดีๆ กลับมามากมายเลย”
ทั้งการต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับต่ำและอสูรศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน ช่างสนุกสุดเหวี่ยงจริงๆ!
อนิจจา น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่านางจะมีโอกาสได้กลับมาทำเช่นนี้อีกเมื่อใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนก็ยิ่งชื่นชมฉู่หลิวเยว่
“ดีแล้วๆ เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
เขาพูดพลางถอนหายใจ
“ถ้า… จวินจิ่วชิงคิดเหมือนเจ้า คงจะดีไม่น้อย”