ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1286 ข้ามาเพื่อสู้กับเจ้า
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองทันควัน!
ครั้นเห็นการตอบสนองของนาง ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็นึกสงสัย
“ศิษย์เอ๋ย เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่รีบดึงสติกลับมา แล้วระบายยิ้มกลับไปตามปกติ
“เปล่าขอรับ ศิษย์แค่สงสัยว่า… คนที่ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนกล่าวถึงผู้นี้ เขา… ทำผิดกฎเหมือนศิษย์หรือขอรับ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนส่ายหน้า
“มิใช่เช่นนั้น เพียงแต่… เขาถูกลงโทษเพราะทำเรื่องไม่ดีบางอย่างต่างหาก ทว่าจนแล้วจนรอด สุดท้ายหลังจากถูกลงโทษ เขากลับทำตัวดื้อด้านหัวแข็งมากกว่าเดิม ไม่เหมือนกับเจ้า…”
ฝ่ายนั้นน่ะดื้อรั้นชนิดที่ว่า ต่อให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนทัศนคติได้
เฉกเช่นอาจารย์ของเขาไม่มีผิด
แต่อาจเป็นเพราะเขามองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจวินจิ่วชิงเป็นคนอย่างใด ดังนั้นเขาถึงคอยปกป้องอีกฝ่ายตลอดมา…
“ช่างเถอะ ก็แค่เรื่องในอดีต อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย”
ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนตัดบทฉับทันที
ฉู่หลิวเยว่ขบเม้มริมฝีปากเบาๆ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอันใด
…
เหล่าผู้อาวุโสทั้งสองเดินทางมาส่งฉู่หลิวเยว่ถึงภูเขาจิ่วเหิงด้วยตัวเอง
หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมามายขึ้นในช่วงนี้ พวกเขาก็เริ่มชินกับการที่ฉู่หลิวเยว่พักอาศัยกับหรงซิวแล้ว
ยามนี้พวกเขาจึงพานางมาส่งโดยมิได้นึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนเอ่ยทิ้งทวนไว้สองสามคำแล้วจากไป เหลือเพียงสองอาจารย์ศิษย์ที่ถึงเวลามานั่งจับเข่าคุยกันเสียหน่อย
เมื่อร่างเงาของอีกฝ่ายหายไปจากครรลองสายตา ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็หันไปถามฉู่หลิวเยว่ว่า
“ศิษย์เอ๋ย เจ้ารู้จักจวินจิ่วชิงด้วยหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตอบเบาๆ
“ไม่รู้จักขอรับ ว่าแต่ ไยท่านอาจารย์ถึงถามเช่นนี้ขอรับ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงจ้องหน้านางเขม็ง พลันส่ายหน้าช้าๆ
“เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้า ยามพูดถึงเขาสีหน้าเจ้าบอกข้าว่ามีบางอย่างผิดปกติ เจ้าต้องรู้จักเขาแน่ๆ อย่างน้อยก็เคยได้ยินเรื่องของเขาใช่หรือไม่?”
สมแล้วกับที่เป็นท่านอาจารย์
ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหายใจ ก็ตอนนั้นจู่ๆ ผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยนก็โพล่งขึ้นมา นางเลยตกใจจนลืมเก็บสีหน้าของตนไปชั่วขณะ
นางเงียบไปครู่หนึ่ง
“เคยได้ยินขอรับ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงถามต่อ
“หรงซิวบอกเจ้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ตาเป็นประกายทันที พลางผงกศีรษะระรัว
“เห่อ… ข้าว่าแล้วเชียว”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพลันถอนหายใจ ราวกับคิดไว้แล้วไม่มีผิด
“เขากับจวินจิ่วชิงมีความแค้นต่อกันอยู่ เจ้าเองก็สนิทกับหรงซิว ไม่แปลกที่จะได้ยินชื่อของเขา”
เรียวคิ้วของฉู่หลิวเยว่เริ่มย่นเข้าหากันทีละนิด
ตอนแรกนางคิดว่าสาเหตุที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงเดาว่าเป็นหรงซิว เป็นเพราะเมื่อก่อนนางชอบโยนความผิดให้หรงซิวเสียทุกครา ดังนั้นคราวนี้เขาเลยเดาว่าเป็นหรงซิวอีกตามเคย
แต่ตอนนี้เหมือนมันจะไม่ใช่แบบนั้น
หากแต่นางก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงคิดเองเออเองอีกตามเคย
“จริงๆ แล้ว จวินจิ่วชิงเองก็เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่..”
น่าเสียดายที่เขามีจิตใจมืดมนและอารมณ์รุนแรง เมื่อเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น การตอบสนองของเขาจะทำให้ทุกอย่างพัฒนาไปในทิศทางที่เกินการควบคุม
ทว่าเรื่องเช่นนี้มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่รู้ หากบอกให้ศิษย์คนอื่นทราบ คงไม่เหมาะเท่าใด
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก แค่ทำในส่วนของเจ้าให้ดีก็พอ”
หากแต่ฉู่หลิวเยว่ก็ยังถามต่ออย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่หรงซิวกับจวินจิ่วชิง... ผิดใจกันเพราะเหตุใดหรือขอรับ?”
ก่อนหน้านี้นางแค่มองว่าสองคนนี้ไม่ชอบหน้ากัน แต่เมื่อได้ยินว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงกล่าวเช่นนี้ ก็แปลว่ามันมีเงื่อนงำมากกว่าที่นางคิดไว้มาก
ผู้อาวุโสวั่นเจิงดีดหน้าผากนางเบาๆ
“สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องที่เจ้าควรใส่ใจ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นระหว่างสองคนนั้น เจ้าแค่ตั้งใจฝึกฝนก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่ลูบหน้าผากตนป้อยๆ และตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“ขอรับ”
“เอาล่ะ เจ้าไปเถิด! วันนี้ก็พักผ่อนให้เยอะๆ ส่วนพรุ่งนี้ก็ไปหาข้า ตอนนี้เจ้าทะลวงขั้นพลังปราณได้แล้ว เช่นนั้นวันพรุ่งก็แสดงความแข็งแกร่งของเจ้าให้ข้าดูหน่อยแล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า แล้วพูดว่า
“จริงสิ ท่านอาจารย์ขอรับ ช่วงนี้สมุนไพรของศิษย์ร่อยหลอลงแล้ว ศิษย์อยากไปที่หุบเขาโอสถวาโย ท่านว่า…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงสะบัดมือไหวๆ
“เช่นนั้นก็ไปเอามันมา! ลงบัญชีเป็นชื่อข้าให้หมด!”
ฉู่หลิวเยว่เผยยิ้มกว้างขึ้นทันตา
และหลังจากส่งผู้อาวุโสวั่นเจิงแล้ว นางก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปภูเขาจิ่วเหิง
ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษโดยหรงซิว และมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่เปิดมันได้
ส่วนตู๋กูโม่เป่านั้นถือเป็นข้อยกเว้น
หลังจากกลับมาที่ภูเขาแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ตรงไปยังเรือนนอนของตน
แต่หลังจากค้นหาไปรอบๆ กลับพบว่าหรงซิวไม่ได้อยู่ที่นี่
นางค้นหาไปทั่วทุกที่ ทั้งภายในและภายนอกเรือน หรือแม้แต่บนภูเขา แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหรงซิว
ดวงตากลมโตกวาดมองห้องโถงอันว่างเปล่าด้วยความงุนงง
นางคิดมาตลอดว่าหรงซิวคงรออยู่ที่นี่ เลยไม่ได้เอ่ยถามพวกผู้อาวุโสปั๋วเยี่ยน
หรือว่า… เขาเองก็ถูกลงโทษเพราะเรื่องก่อนหน้านี้?
แต่ในเมื่อนางกลับมาแล้ว ไยหรงซิวถึงยังไม่มาล่ะ?
“ไม่ต้องหาแล้ว อีกครึ่งเดือนเขาถึงจะถูกปล่อยตัวออกมา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ฟังดูเย็นชาระคนอ้อแอ้ดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแย้มด้วยความปิติ
“พี่เป่า!”
นางเดินตามทิศทางของเสียงไป พลางก้าวเข้าไปข้างในสองสามก้าว ก่อนจะพบกับตู๋กูโม่เป่าที่นั่งรออยู่ในห้อง
“เจ้ามาได้อย่างใด?”
นางถามด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ
ตู๋กูโม่เป่ามองนางนิ่งๆ ราวไม่คิดว่านางจะถามเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไออย่างเก้อเขิน
“คือ… ข้าหมายความว่า ยามนี้เป็นช่วงกลางวัน ไม่คิดว่าเจ้าจะมา”
อิงจากกิจวัตรของตู๋กูโม่เป่าแล้ว เจ้าตัวมักจะโผล่หน้ามาตอนเย็น ไม่ก็ตอนค่ำเสียมากกว่า
ตู๋กูโม่เป่าไม่ได้ตอบคำถามของฉู่หลิวเยว่
เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าคำพูดของฉู่หลิวเยว่นั้นไร้แก่นสารสิ้นดี
ทว่าฉู่หลิวเยว่ที่ถูกเมินก็ยังเดินเข้าไปหาเขาอย่างมีความสุข ราวไม่สนใจท่าทีหมางเมินนั่น
การถูกตู๋กูโม่เป่าทำท่ารังเกียจใส่นั้นถือเป็นเรื่องปกติ และหากไม่ถูกรังเกียจ ก็แสดงว่าคนผู้นั้นไร้น้ำยา
นานๆ เข้าฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มคุ้นชินกับมัน ทุกครั้งที่นางเห็นสีหน้าเย็นชาปนรังเกียจบนใบหน้าเล็กๆ นั่น มีแต่อยากจะทำให้นางพุ่งเข้าไปบีบแก้มของเขาแรงๆ!
ตอนนี้ในหัวของนางมีแต่ความคิดชั่วร้าย หากแต่ไร้ความกล้า
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางอาจจะกล้ากว่านี้ แต่หลังจากได้ฝึกกับตู๋กูโม่เป่า ฉู่หลิวเยว่ก็ควบคุมตัวเองได้เยอะขึ้น
…เพราะการถูกขยี้บนกระดานหมากรุกนั้นเจ็บปวดสาหัสสากันจนนางลืมไม่ลง
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางห้ามใจตัวเองไม่ให้บู้บี้ใบหน้าเล็กๆ ของเขาได้แล้ว แม้จะอยากขยุ้มมันมากแค่ไหนก็ตาม
“แล้วเขาไปอยู่ที่ใดหรือ เหตุใดถึงถูกขังนานเพียงนี้?”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“เรื่องนี้น่าจะเป็นความลับ แต่เหตุใดเจ้าถึงรู้ดีนักเล่า?”
“เขาไม่ได้อยู่ที่สำนักวิชา”
ตู๋กูโม่เป่าตอบสั้นๆ ราวกลัวดอกพิกุลจักร่วงลงจากปาก ก่อนจะทำหูทวนลมไม่สนใจคำถามของฉู่หลิวเยว่
“เจ้าทะลวงผ่านระดับแปดแล้วหรือยัง?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน ฉู่หลิวเยว่ก็นึกอยากบีบหน้าอ้วนๆ นั่นเสียที
ทว่าสติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ สั่งให้นางอดกลั้นไว้
ในเมื่อตู๋กูโม่เป่าไม่อยากพูด เห็นได้ชัดว่าต่อให้นางถามอันใดออกไปก็ไม่มีประโยชน์
และมีแต่จะทำให้เขาหงุดหงิดนางมากขึ้นเรื่อยๆ
“หลังจากเข้าไปในสวนอสูรได้ไม่กี่วัน ข้าก็ทะลวงได้เลย”
ฉู่หลิวเยว่เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของตู๋กูโม่เป่า
ตู๋กูไม่เป่าจ้องมองนางตาไม่กะพริบ
“เช่นนั้นข้าจะสู้กับเจ้า”