ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1287 บทเรียน
“อันใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ นางคิดว่าตัวเองหูฝาดไปแน่ๆ
“เจ้า? จะสู้กับข้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่จรดปลายนิ้วใส่จมูกตัวเอง พลันถามย้ำราวไม่เชื่อกับหูตัวเอง
ตู๋กูโม่เป่าเริ่มหน้าหงิกหน้างอ
“เหตุใด เจ้าไม่เต็มใจหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น!”
ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธพัลวัน
นี่มันบ้าไปแล้ว!
สำหรับคนธรรมดาอย่างนาง แค่ได้พบกับผู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้ก็ถือว่ายากมากแล้ว แต่การได้ประมือและได้รับคำแนะนำจากอีกฝ่ายอีก ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
แต่ถึงจะคิดไม่ตกอย่างใด นางก็ไม่อาจพูดว่า “ไม่เต็มใจ” ได้
“… ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อย…”
อย่างใดเสีย ถึงนางจะรู้จักกับตู๋กูโม่เป่ามานาน แต่นอกจากเล่นหมากรุกแล้ว นางก็ไม่เคยประมือกับเขาด้วยวิธีอื่นเลย
แม้ว่าเขาจะฝึกวิถีการเป็นจอมยุทธ์ให้นาง แต่เขาก็แค่โยนหุ่นเชิดออกมาสองสามตัว ทว่าไม่เคยลงมาสู้กันตัวต่อตัวเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นพอฉู่หลิวเยว่ได้ยินวาจาของเขา นางจึงตกอกตกใจอย่างมาก
“ถึงสมรรถภาพของเจ้าในตอนนี้ จะยังห่างไกลจากการเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพ แต่ในเมื่อเจ้าทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับแปดแล้ว เจ้าย่อมแข็งแกร่งไม่แตกสลายง่ายๆ ขณะต่อสู้แน่นอน”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าวอย่างใจเย็นมากกว่าปกติ
ฉู่หลิวเยว่กระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ
นี่มันเรื่องบ้าอันใดเนี่ย!?
ไม่แตกสลายง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
นี่เขาเคี่ยวเข็ญให้นางบุกทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับแปด ก็เพื่อการนี้หรือ!?
ตู๋กูโม่เป่าเหลือบมองนางแวบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่จึงตอบกลับอย่างขึงขัง
“เช่นนั้นโปรดชี้แนะข้าด้วย!”
…
สถานที่ต่อสู้ของคนทั้งสอง ยังคงเป็นภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี่
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงรอบตัว พลางเอ่ยถามอย่างลังเล
“พี่เป่า เราจะไม่ออกไปสู้กันด้านนอกจริงๆ หรือ? ห้องนี้เล็กมาก ข้าว่าคงไม่เหมาะเท่าไรนะ? และถ้าเราทำของตกแต่งเหล่านี้พังล่ะก็ คงไม่ดีแน่ๆ…”
“นั่นไม่จำเป็น”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าวเสียงเรียบ
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับสำลัก
ช่างเป็นประโยคเหยียดหยามคู่ต่อสู้ที่เจ็บปวดที่สุดเท่าที่นางเคยได้ยินมาเลย
ปกติแล้วนางเป็นคนกล้าต่อปากต่อคำ แต่ทุกครั้งที่เจอตู๋กูโม่เป่า นางมักจะพ่ายแพ้ให้เขาเสียหมดรูปตลอด!
และนางก็คิดไม่ออกว่าจักตอบโต้เขาอย่างใด
แต่ใครจะยอมให้คนอื่นบดขยี้ตัวเองอยู่แบบนี้กัน!
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น พลันเคลื่อนเท้าไปข้างหลัง กล้ามเนื้อทั่วตัวเกร็งแน่น พลังปราณในจุดตันเถียนเริ่มไหลเวียนทันที!
ร่างกายเข้าสู่สภาวะสู้รบโดยสมบูรณ์ในพริบตา!
ดวงตาของตู๋กูโม่เป่าฉายแววพึงพอใจแวบหนึ่งพลันหายวับไป
“ดูเหมือนว่าเวลาหนึ่งเดือนที่อยู่ในสวนอสูรจะไม่สูญเปล่านะ”
ถึงก่อนหน้านี้ทักษะการต่อสู้ของฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้อ่อนแอ แต่มันก็มีขีดจำกัดในตัว
ทว่าหลังจากทะลวงขึ้นสู่นักรบระดับแปด และการที่ร่างกายของนางต้องอยู่ในสภาวะพร้อมรบขั้นสูงสุด ยามต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมายอย่างดุเดือดตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้ทักษะเกือบทุกด้านของนางได้รับการขัดเกลาและปรับปรุงให้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด
และถึงระดับจะไม่เปลี่ยน แต่พลังในการสังเกตและความรุนแรงของพลังปราณ กลับแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญของจอมยุทธ์ในยามสู้รบ
ดังนั้นเมื่อนางเผชิญหน้ากับตู๋กูโม่เป่าในครานี้ นางสามารถระดมกำลังทั้งหมดของตนได้อย่างรวดเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่งอเข่าลงเล็กน้อย แล้วจ้องมองตู๋กูโม่เป่าที่อยู่ตรงข้าม!
พรึบ!
ร่างของนางหายวับไปจากจุดที่เคยอยู่!
พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในพริบตา!
แล้วปล่อยหมัดออกไป!
ตู๋กูโม่เป่ายกมือขึ้นสกัดหมัดที่พุ่งเข้ามาด้านหน้า!
เปรี้ยง!
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยหมัดออกไปอย่างแรง ก่อนที่มันจะปะทะเข้ากับม่านพลังที่มองไม่เห็นทว่าทรงพลังจนน่าทึ่ง จนเกิดเสียงปะทะดังเปรี้ยง!
ณ วินาทีนั้น นางรู้สึกราวกับชกใส่แผ่นเหล็กกล้า!
นางตกใจจนสมองพลันขาวโพลนไปชั่วขณะ
ความเจ็บอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามืออย่างรวดเร็ว!
มันเจ็บปวดรวดร้าวราวฝ่ามือจะแตกเสียให้ได้!
พลังที่ปล่อยออกไปสะท้อนกลับมา!
มวลพลังนั่นอัดกระแทกใส่ฉู่หลิวเยว่เต็มๆ จนร่างบางกระเด็นออกไป จนเกือบกระแทกผนังห้องด้านหลัง!
นางกัดฟันกรอดแล้วรีบยื่นมืออีกข้างออกมาสกัดกั้นพลังนั่นไว้ ไม่ให้ลอยไปกระแทกผนัง
แต่เพราะรีบสกัดพลังอย่างฉุกละหุก ทำให้นางเสียสมดุลจนเกือบล้มลงกับพื้น
ฉู่หลิวเยว่จับยึดที่วางแขนของเก้าอี้ข้างตัวไว้ แล้วพยายามหยัดตัวขึ้น
“เหมือนว่ายังต้องฝึกเพิ่มอีกนะ”
เสียงของเขาดังขึ้นจากด้านหลังนาง
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้น พลันหันกลับไปมอง
สีหน้าของตู๋กูโม่เป่ายังคงนิ่งเรียบและไม่แยแส ราวกับว่ามิได้เอ่ยถึงสถานการณ์ในตอนนี้
ฉู่หลิวเยว่ว้าวุ่นใจอย่างมาก
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ แค่ฝ่ามือของตู๋กูโม่เป่า นางยังมิสามารถแตะต้องได้เลย!
แค่เขายกมือขึ้น ลมปราณรอบตัวเขาก็สามารถบดขยี้นางได้พริบตา!
นางรู้ดีว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ แต่นางแค่คิดไม่ถึงว่า ต่อให้นางเค้นพลังทั้งหมดออกมาโจมตีใส่เขา ก็ยังเรียกตัวเองว่าคู่ต่อของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยว่า
“เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงอยากสู้กับข้าหรือ?”
ความแข็งแกร่งของพวกเราสองคนต่างกันมาก สำหรับนางแล้ว ความหมายของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการทำให้นางตระหนักว่าตัวเองอ่อนแอมากเพียงใด!
“ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า เมื่อเทียบกับศิษย์ในสำนักหลิงเซียวแล้วเจ้าอาจเก่งที่สุด แต่วันนี้และตอนนี้ เจ้ายังห่างจากคำว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงนัก”
ตู๋กูโม่เป่าดึงมือกลับมา แสงพร่างพราวที่ปรากฏขึ้นในรูม่านตาสีม่วงแปลกๆ ของเขาพลันหรี่แสงลง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะอย่างขมขื่น
ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่า การที่ตู๋กูโม่เป่าทำท่าจงเกลียดจงชังนางทุกครั้งที่เจอกันนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเสแสร้ง หากแต่เป็นเรื่องจริง
ถ้านางเป็นเขาก็คงจะทำแบบเดียวกัน
ทันใดนั้น ท่าทีของนางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แล้วโค้งคำนับตู๋กูโม่เป่าอย่างจริงจัง
“ข้าจะจำบทเรียนวันนี้ให้ขึ้นใจ”
ตู๋กูโม่เป่าตั้งใจทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวนาง และนางเองก็รู้ดี
“สักวันหนึ่ง… ข้าจะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเจ้าให้ได้!”
มุมปากของตู๋กูโม่เป่ายกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น
“แล้วข้าจะรอ”
มันเป็นรอยยิ้มบางเบาที่ดูละมุนราวดอกไม้เล็กๆ ที่เบ่งบานบนภูเขาน้ำแข็ง
ปกติแล้วเขามักจะทำหน้าตาเย็นชาอยู่เสมอ แม้แต่ฉู่หลิวเยว่เองก็แทบจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มของเขาเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลุดยิ้มออกมาฉับพลันเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ถึงกับตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้
ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วบีบนวดแก้มย้วยๆ ของตู๋กูโม่เป่าอย่างลืมตัว
“หึ้ยยย พี่เป่า เจ้าน่ารักมากเลย!”
ทว่าสามวินาทีต่อมา ตู๋กูโม่เป่าก็เดินออกไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ปัง!
แล้วกระแทกประตูใส่นางอย่างแรง
ภายในห้อง ฉู่หลิวเยว่มองค่ายกลขนาดใหญ่ตรงหน้าตาละห้อย ก่อนจะเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีละนิด
“พี่เป่า ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว!”
ตู๋กูโม่เป่าตอบกลับอย่างเย็นชา
“แก้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องออกมา!”
ครั้นพูดจบ ร่างเงาของเขาก็กะพริบเบาๆ แล้วหายวับไปทันที
ส่วนฉู่หลิวเยว่ที่ถูกทิ้งไว้ในห้อง ก็เริ่มเล่นหมากรุกด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
หนึ่งชั่วยามต่อมา
“ตู๋กู่โม่เป่า นี่ไม่ใช่ค่ายกลระดับเก้าแล้ว เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”
แต่ตู๋กูโม่เป่าได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
และเมื่อการประท้วงไม่ได้ผล ฉู่หลิวเยว่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งหน้าตั้งตาเดินหมากต่อไป
เห้อ
จู่ๆ ก็อยากกลับไปสวนอสูรเลย
อย่างน้อยตอนอยู่ที่นั่น นางก็ไม่ถูกรังแกแรงๆ เช่นนี้
…
ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายชั่วยาม
และเมื่อใกล้ค่ำ ดวงตาของนางก็ส่องประกายรุ่งโรจน์
“ตรงนี้!”