ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1288 ม้ามืดผู้เก่งกาจที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่
นางยกมือขึ้น ปลายนิ้วเรียวขาวสั่นไหวเบาๆ
ลำแสงหลายเส้นพุ่งออกมา พันเกี่ยวกันจนเกิดเป็นค่ายกลโปรงแสงเล็กๆ ขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นนางก็วางมันบนค่ายกลขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
กลุ่มแสงที่อยู่โดยรอบพลันพุ่งเข้ารวมเข้ากับค่ายกลเล็กๆ อันนี้อย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอย่างยินดี
…มันคือสัญญาณว่าค่ายกลกำลังจะแตกแล้ว!
ทว่ายังไม่ทันจะได้ฉีกยิ้มเต็มที่ ครู่ต่อมานางก็เห็นกลุ่มแสงบนค่ายกลอันยิ่งใหญ่พุ่งสูงขึ้น แล้วขยายตัวออกเรื่อยๆ พลันกลืนกินรูปค่ายกลขนาดเล็กของนางอย่างไว
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
วิธีคลายค่ายกลนี้ถูกต้องแล้ว หากแต่เสียดายที่ตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป จนไม่สามารถสู้กับพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ได้
แต่พอค่ายกลอันเล็กของนางถูกกลืนกินจนหมด ค่ายกลอันใหญ่ก็เปล่งแสงสีเงินพร่างพราวต่อหน้าต่อตานาง ก่อนจะแตกสลายไปท่ามกลางความเงียบงัน
ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ดูเหมือนพี่เป่าจะไม่อยากใช้ค่ายกลนี้แกล้งข้าแล้ว”
“ข้าให้เวลาเจ้าสามเดือน หาทางคลายค่ายกลนี้เองให้ได้ แล้วข้าจะมาทดสอบเจ้าอีกที”
แต่จู่ๆ เสียงของตู๋กูโม่เป่าก็ดังขึ้นข้างใบหู!
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสะดุ้งโหยงแล้วหันไปมองด้านนอกประตูทันควัน
แต่ข้างนอกนั้นยังคงเงียบกริบ เสมือนไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ขนงเรียวเริ่มขมวดมุ่น
สามเดือนหรือ…
นี่พี่เป่าคิดว่านางเก่งกาจมาจากไหนกัน…
แต่โชคดีที่นางสามารถจดจำรูปแบบค่ายกลนั่นได้ หลังจากนี้นางจะใช้เวลาที่เหลือศึกษามันอย่างละเอียด
ดวงตากลมมองท้องฟ้าด้านนอก พลางเดินไปเปิดประตู
และก็เป็นอย่างที่คิด ประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดล็อกไว้เมื่อครู่ สามารถเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
ฉู่หลิวเยว่นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าออกไป แล้วมุ่งหน้าไปยังหุบเขาโอสถวาโย
…
เพลานี้เป็นเวลาเย็นแล้ว
ครั้นฉู่หลิวเยว่มาถึงหุบเขาโอสถวาโย ก็เหลือศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน
นางเหลือบมองผู้อาวุโสเมิ้งเย่ที่เอนตัวนอนอยู่บนตะแคร่ไม้เก่าๆ กลางสวน
ราวกับกำลังหลับสนิท
แต่บางครั้งก็มีศิษย์เดินไปลงบัญชีเบิกถอนสมุนไพรจากเขา
และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่กล้าปักใจเชื่อว่าเขานอนหลับอยู่จริงๆ
หุบเขาโอสถวาโยทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามาโดยตลอด
ฉู่หลิวเยว่จึงไม่อยากไปยั่วโทสะเขามากนัก และเลือกที่จะร่อนลงไปเงียบๆ และเริ่มมองหาสมุนไพรที่ต้องการ
“ฉู่เยว่!?”
ฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งเท้าแตะพื้น ได้ยินเสียงตะโกนราวตกใจดังมาจากด้านข้าง
นางหันกลับไปมองทันที ก่อนจะระบายยิ้มออกมา
“ศิษย์พี่จงซวิ๋น ท่านมาที่นี่ได้อย่างใด?”
จงซวิ๋นเดินเข้ามาหานาง พลางกวาดตามองฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจเก็บซ่อนได้
“ข้าสิต้องถามเจ้า! เจ้าหายหน้าหายตาไปตั้งหนึ่งเดือน! นี่ข้าไม่เห็นหน้าเจ้าเสียนาน เป็นเพราะศิษย์พี่หรงซิวกับเจ้าเก็บตัวฝึกฝนกันเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะแย้มยิ้มแล้วพูดว่า
“ใช่แล้ว”
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะยังไม่รู้เรื่องที่หรงซิวไม่อยู่ในสำนักวิชา
“เข้าใจล่ะ”
จงซวิ๋นเหลือบมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความชื่นชมระคนอิจฉา
“ศิษย์พี่หรงซิวเป็นถึงอันดับสองในการประลองชิงอวิ๋น หากได้เขาชี้แนะ เจ้าจะต้องได้ความรู้มาเยอะแน่ๆ เลยใช่หรือไม่? แต่ฉู่หลิวเยว่ แน่นอนว่าเจ้าเองก็โดดเด่นเช่นกัน เพิ่งเข้าสำนักมาได้สองเดือน แต่กลับมีชื่อบนตารางแล้ว น่าเสียดายที่การประเมินเดือนนี้เพิ่งจบไป ถ้าเจ้ามาทัน นามของเจ้าคงได้เลื่อนอันดับสูงขึ้นไปอีกแน่ๆ เลยใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ถึงจำได้ว่านางถูกขังอยู่ในสวนอสูรนานหนึ่งเดือน จนพลาดการประเมินเมื่อต้นเดือนไปเสียนี่
นางยิ้มพลางส่ายหน้า
“ศิษย์พี่จงซวิ๋นก็พูดเกินไป ข้ามิได้เก่งกาจเช่นนั้นเสียหน่อย”
นางทำท่านึกคิด และพูดต่อ
“ไม่เหมือนหลินจือเฟยผู้นั้น เขาขึ้นตารางเร็วกว่าข้าเสียอีก”
จงซวิ๋นส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
“ก็จริง การประเมินต้นเดือนครานี้ เขาขึ้นไปอยู่ที่อันดับแปดสิบเก้าของแขนงปรมาจารย์แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่แอบทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน
“หืม? เร็วเช่นนี้เชียว?”
“อือ และความจริงตอนนั้นเขายังไม่ได้เอาจริงด้วยซ้ำ!” จงซวิ๋นแอบมองซ้ายขวา และค่อยๆ ลดเสียงลง “ตอนนั้นเจ้ายังไม่ออกมา ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ เมื่อไม่นานมานี้ มีการเรียนร่วมระดับชั้นเกิดขึ้นที่ทางฝั่งปรมาจารย์ หลินจือเฟยท้าประลองกับเจียงจื่อหยวน แล้วเอาชนะนางได้!”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่วูบไหวเบาๆ
“ความแข็งแกร่งของเจียงจื่อหยวนมิได้อ่อนแอเพียงนั้น ทว่าหากสามารถเอาชนะนางได้ เจ้าน่าจะคิดออกว่าหลินจือเฟยแข็งแกร่งแค่ไหน! ถึงจะไม่ใช่การประลองจริงๆ และเป็นแค่การแข่งบนกระดานหมากรุก แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าหลินจือเฟยโดดเด่นเพียงใด”
จงซวิ๋นกล่าวอย่างใส่อารมณ์
“ได้ยินว่าเขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น แถมยังดูสุภาพนุ่มนวล ไม่คิดว่าเขาจะร้ายลึกขนาดนี้… พวกศิษย์ฝั่งปรมาจารย์ล้วนกล่าวกันว่า ถ้าเขาใช้พลังทั้งหมดล่ะก็ เขาคงได้กระโดดขึ้นไปอยู่บนอันดับสามสิบต้นๆ แล้ว แต่ไม่รู้เพราะอันใด เขาถึงดูไม่ค่อยสนใจเรื่องอันดับนัก ตอนวันประเมินเมื่อต้นเดือน เขาก็ดูประลองไปแบบส่งๆ”
และไม่ใช่แค่จงซวิ๋นเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าหลินจือเฟยกำลังคิดอันใดอยู่
ในสำนักวิชาแห่งนี้ ทุกคนล้วนต้องการมีชื่ออยู่บนตารางทั้งสิ้น
ยิ่งได้อันดับสูง ก็ยิ่งถือว่ามีเกียรติ
และยังมีอีกหลายคนที่แม้จะออกจากสำนักไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายและอยากจะติดอันดับกับเขาสักครั้ง
ทว่าหลินจือเฟยผู้นี้กลับดูไม่สนใจเรื่องพวกนี้
“แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นมองเขาไม่ดีเลย แต่กลับทำให้หลายๆ คนมองว่าเขาเป็นม้ามืดที่โดดเด่นที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา…”
จงซวิ๋นพูดพลางเหลือบมองฉู่หลิวเยว่อย่างอดไม่ได้
“แน่นอนว่าข้า หมายถึงฝั่งปรมาจารย์น่ะนะ…”
พอเห็นท่าทีระแวดระวังของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ศิษย์พี่จงซวิ๋น ท่านอยากพูดอันใดก็พูดเถิด ไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้าจะคิดอย่างใด”
“เจ้า… ไม่คิดโกรธเคืองเลยจริงๆ หรือ?”
จงซวิ๋นถามด้วยความสงสัยจากใจจริง
เกือบสองเดือนก่อน หลังจากที่ฉู่เยว่ลอบออกจากเขตสำนักวิชาไปช่วยศิษย์พี่หรงซิว แล้วพาเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย คนส่วนใหญ่ในสำนักก็ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเขาคือคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่
ทว่าตอนนี้ลมได้เปลี่ยนทิศแล้ว
หลายคนต่างเอนเอียงไปทางหลินจือเฟยทั้งสิ้น
จะมีผู้ฝึกตนคนใดที่พอเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แล้วจะยังอยู่เฉยได้กัน?
“ข้าไม่สนใจจริงๆ ขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหัวเราะ และพูดอย่างจริงจัง
นางคือคนที่รู้เรื่องพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของหลินจือเฟยดีที่สุด ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เลือกร่วมมือกับเขาตั้งแต่แรก
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้… ทุกคนกำลังแอบเปรียบเทียบพวกเขาสองคนอย่างนั้นหรือ?
แต่เมื่อนึกถึงภาพ “การต่อสู้” กับตู๋กูโม่เป่าเมื่อครู่แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็แอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ในเมื่อมีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่ข้างกายเช่นนี้ แล้วนางจะไปสนใจความเก่งกาจของหลินจือเฟยเหตุใด?
พอเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจจริงๆ จงซวิ๋นก็ค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย
“เช่นนั้นก็ดี ดีแล้ว อย่างใดตอนนี้เจ้าก็ได้ฝึกกับผู้อาวุโสวั่นเจิงและศิษย์พี่หรงซิวแล้ว เจ้าต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่อย่างแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“เมื่อครู่ท่านพูดว่า… เจียงจื่อหยวนแพ้หลินจือเฟยหรือขอรับ? ไยจักเป็นเช่นนั้น ข้าจำได้ว่านางแข็งแกร่งมาก”
“นางเองก็ฝีมือไม่เลว แต่วันนั้นเหมือนนางจะอารมณ์ไม่ค่อยดี”
จงซวิ๋นกล่าวอย่างลังเล
“มิเช่นนั้น คงไม่พูดแบบนั้นออกมาหรอก…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วทันควัน
“พูดอันใดหรือ?”
จงซวิ๋นส่ายศีรษะพัลวัน
“คงเป็นเพราะไม่ยอมปล่อยวางเรื่องตำแหน่งพระชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์นั้นแหละ เลยพูดไม่ดีเช่นนั้นออกมา แต่หลังจากประลองจบ นางก็ขอลาเรียนและกลับไปยังเผ่าเซียนสุ่ยหลิงแล้ว”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง