ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1289 ศิษย์จอมประจบ
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
ถ้าอิงจากที่นางได้รู้มา เมื่อก่อนหลายคนในสำนักวิชาให้ความสำคัญ ยกย่องเยินยอเจียงจื่อหยวนมาก
นั่นเพราะฐานะทางครอบครัวของนางที่ไม่ธรรมดา และอีกด้านก็เพราะนางมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นไม่เป็นรองใคร
นอกจากนี้นางยังงดงามเกินใคร ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นนางนั้นทั้งอ่อนหวาน ใจกว้าง และวางตัวดีอยู่เสมอ ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนต่างชื่นชอบในตัวนาง
แต่พอฟังจากน้ำเสียงของจงซวิ๋นในยามนี้แล้ว กลับเหมือนว่าเขากำลังดูถูกเจียงจื่อหยวนมากกว่า
หมายความว่าวันนั้นเจียงจื่อหยวนคงทำตัวไร้ยางอายจริงๆ
และเหมือนว่าจงซวิ๋นจะสัมผัสได้ถึงความสงสัยใคร่รู้ของฉู่เยว่ เขาจึงขยายความสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นสั้นๆ อีกครา
“… เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อก่อนทุกคนต่างก็มองว่านางนั้นไร้เดียงสาและบริสุทธ์ แต่หลังจางวันที่หลินจือเฟยก้าวออกมามีบทบาท ก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบที่นางเคยกล่าวอ้างเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเป็นนางที่ไร้ความสามารถ แต่ก็ยังกล้าสาดน้ำสกปรกใส่คนอื่นอีก… คนที่ทำเช่นนี้ได้ ย่อมมิใช่คนที่น่าคบหา”
จงซวิ๋นขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววเหนื่อยหน่าย
“วันนั้นมีศิษย์อยู่ที่สนามเยอะมาก และหลายคนได้ยินสิ่งที่นางพูด จากนั้นนางก็แสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นคนเช่นนี้… พอมาคิดดูตอนนี้ ที่ศิษย์พี่หรงซิวเว้นระยะห่างกับนางมาตลอด ก็คงเป็นเพราะมองเห็นธาตุแท้ของนางตั้งแต่แรกแล้วกระมัง?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตอบอันใดกลับไป
ความจริงแล้วเจียงจื่อหยวนเป็นคนเก็บอารมรณ์ของตัวเองได้เก่งมาก แต่ถ้าแสแสร้งแกล้งทำนานเข้า สุดท้ายความลับนั้นก็จะถูกเปิดเผย
แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ นางถึงสติแตกจนคุมตัวเองไม่ได้เช่นนั้น
ตั้งแต่นั้นมา ภาพลักษณ์ของนางในหัวใจของคนในสำนักวิชาก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
แถมยังพ่ายแพ้แก่หลินจือเฟยอีก... มันยิ่งกว่าความอัปยศเสียอีก
ในสำนักหลิงเซียวแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็สามารถวางท่าเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดีได้
แต่จะทำเช่นนั้นได้ อันดับแรกต้องแข็งแกร่งมากพอ!
หากไร้ซึ่งพื้นฐานอันแข็งแกร่ง สุดท้ายก็โดนโค่นล้มได้
“ดูๆ แล้วช่วงนี้นางคงยังไม่กลับมาหรอก”
ฉู่หลิวเยว่จมอยู่กับความคิดของตน
ชัดเจนว่าเจียงจื่อหยวนยังคงแค้นนางเรื่องตำแหน่งชายาเอก ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่จำฝังใจจนถึงตอนนี้ แล้วหลุดปากออกมาเช่นนั้นหรอก
แต่ถ้านางกลับไปยังเผ่าเซียนสุ่ยหลิง…
“ฉู่เยว่ ฉู่เยว่? เจ้าคิดอันใดอยู่?”
จงซวิ๋นที่เห็นฉู่เลิวเยว่เงียบเสียงไปนาน ก็ยื่นมือออกไปโบกปัดผ่านหน้านางสองสามที
ฉู่หลิวเยว่พลันได้สติแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอันใดขอรับ ข้าแค่ลองคิดตามที่ท่านพูด… แต่ก็ช่างมันเถอะ มันไม่เกี่ยวอันใดกับเราอยู่แล้ว ขอยืนดูเฉยๆ ก็พอแล้วขอรับ หากศิษย์พี่จงซวิ๋นไม่มีอันใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอไปเก็บสมุนไพรได้หรือไม่?”
จงซวิ๋นรีบตอบกลับทันที
“ไปเถอะๆ ข้าใกล้จะเก็บเสร็จแล้ว ข้าไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว”
พอพูดจบ เขาก็หันกลับไปเด็ดสมุนไพรอีกสองต้น แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ดึงสายตากลับมาทางเดิม และเริ่มมองหาสมุนไพรที่ต้องการ
…
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ศิษย์หลายคนในหุบเขาโอสถวาโยกลับไปกันเกือบหมดแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ย่ำเท้าเข้าไปในดงดอกกระดูกม่วงที่สูงเพียงหัวเข่าและคัดเลือกพวกมันอย่างระมัดระวัง
“ไอ้หนุ่ม ยังไม่เสร็จอีกหรือ?”
ในที่สุดผู้อาวุโสเมิ้งเย่ก็ลืมตาข้างหนึ่ง แล้วถามอย่างเกียจคร้าน
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ พลันยืดตัวขึ้นแล้วหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าเหลือนางเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ในสวนสมุนไพรแห่งนี้
มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะอย่างเก้อเขินระคนลำบากใจ
“ขออภัยขอรับ ท่านผู้อาวุโส ตัวศิษย์นั้นสะเพร่าจนลืมเวลา… ศิษย์จะรีบเก็บแล้วออกไปประเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่ลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว และหยิบพัดรูปใบธูปฤาษีขึ้นมาเกานวดปลายเท้าเปลือยเปล่าของตน พลันหัวเราะเยาะเบาๆ
“หึๆ เจ้าหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่เจ้าเข้ามา เจ้าเด็ดสมุนไพรไปแล้วกี่อย่าง? หือ? ข้าจำได้ว่าเจ้าเข้ามาเรียนในสำนักได้สามเดือนแล้ว หากเก็บเสร็จแล้วแต้มสะสมของเจ้าไม่พอจ่าย… ข้าจะเด็ดหัวเจ้าเสีย!”
ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้หรอกหรือ
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางคลี่ยิ้มบาง
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่เป็นกังวล แต่ท่านอาจารย์ของศิษย์กล่าวว่า ช่วงนี้ศิษย์สามารถเข้ามาเก็บสมุนไพรที่หุบเขาได้มากเท่าที่ต้องการ และให้ลงบัญชีชื่อเขาไว้ขอรับ”
“หือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดผู้อาวุโสเมิ้งเย่ก็ลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง ก่อนจะกวาดมองฉู่หลิวเยว่ขึ้นลงอยู่ครู่หนึ่ง และถามนางราวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ไอ้แก่นั่นพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
“ขอรับ! เรื่องเช่นนี้ ศิษย์จักกล้าโป้ปดได้อย่างใด?”
“ไอ้แก่นั่นมันเพี้ยนไปแล้วหรือไร…”
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่บ่นพึมพำอย่างอดไม่ได้
คนที่เข้มงวดเจ้ากี้เจ้าการอย่างวั่นเจิงน่ะหรือ จะทำเรื่องเช่นนี้ได้?
แต่ฉู่เยว่เป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ดูๆ แล้วไม่น่ากุเรื่องขึ้นมาได้
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ แค่เขาไปถามวั่นเจิงตรงๆ เสียก็สิ้นเรื่อง
แค่นั้นก็รู้ความจริงแล้ว
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่เย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางลูบเคราของตนไปมา
“หากเป็นเช่นนี้ข้าก็วางใจ ถ้าอยากได้อันใดเพิ่มอีก ก็หอบไปให้หมดเลยแล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มรู้สึกอายจนไปต่อไม่เป็น
นางรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“วันนี้ศิษย์เก็บมามากพอแล้วขอรับ และนี่ก็ค่ำแล้ว ศิษย์ไม่ขออยู่รบกวนท่านแล้วขอรับ”
ขณะว่าเช่นนั้น นางก็เดินไปหาผู้อาวุโสเมิ้งเย่ แล้วยื่นสมุนไพรให้เขาตรวจสอบ
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่หยิบตราหยกของเขาขึ้นมาแล้วเขียนตัวเลขลงไป
“พอแล้ว! ข้ารู้ดีว่าเจ้าเก็บสมุนไพรชนิดใดมาบ้าง ไม่ต้องเอามาให้ตรวจสอบแล้ว! ส่วนใบเสร็จนี้… วันพรุ่งข้าจะส่งมันไปให้เขา…”
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ”
แต่จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็ขัดจังหวะเขา
“ศิษย์มีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน และหวังว่าท่านจะเห็นด้วยขอรับ”
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่เหลือกตาขึ้นมองนางอีกนิด
“เรื่องอันใด?”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมเบาๆ ดวงหน้านวลค่อยๆ เห่อร้อนราวรู้สึกอับอาย เพราะถูกสายตาอันแหลมคมที่ดูเหมือนจะมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งของผู้อาวุโสเมิ้งเย่ จดจ้องมองกันตาไม่กะพริบ
“คือว่า… ใบเสร็จนี้ ท่านช่วยรออีกสักหนึ่งเดือน แล้วค่อยส่งมันให้อาจารย์ของศิษย์ได้หรือไม่ขอรับ?”