ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1290 ปรมาจารย์โอสถ
แววตาของผู้อาวุโสเมิ้งเย่เปลี่ยนเป็นฉงนใจขึ้นทันตา
เขาแกว่งตราหยกในมือไปมา พลางกดยิ้มลึกอย่างมีนัย
“หมายความว่า…พรุ่งนี้เจ้าจะมาอีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างขลาดเขิน
“แล้ววันมะรืนเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอีกครั้ง ใบหน้านวลขึ้นสีแดงเถือกกว่าเก่า
“… คงมิใช่ว่าเจ้าจะมาที่นี่จนครบหนึ่งเดือนหรอกนะ?” มุมปากของผู้อาวุโสเมิ้งเย่กระตุกเบาๆ
“ไม่ขอรับ! ศิษย์จักทำเช่นนั้นได้อย่างใด!”
ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธพัลวัน ก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วอธิบายอย่างเก้อเขินว่า
“คือ… ท่านเองก็คงทราบว่า ไม่นานมานี้ศิษย์เพิ่งทะลวงขึ้นเซียนหมอระดับเก้าได้ และมันเป็นช่วงที่ศิษย์ใช้สมุนไพรเปลืองมากที่สุด…”
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่มองนางอย่างจับผิด
เหตุผลแค่นี้ฟังขึ้นที่ไหนกัน
ในสำนักวิชาแห่งนี้ มีเซียนหมอระดับเก้าอยู่มากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นเด็กพวกนั้นทำตัวเช่นนี้เลย!
“…ผู้อาวุโสขอรับ ท่านคงไม่ได้จะปฏิเสธคำขอของศิษย์หรอกใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่พลันหัวเราะฮาฮาออกมาคราหนึ่ง
“จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร!? ในเมื่อวั่นเจิงสัญญากับเจ้าแล้ว เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าเขาชื่นชมเจ้ามากเพียงใด! หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนเดียวที่เขายอมให้ฝากตัวเป็นศิษย์ แถมยังตามใจเสียยกใหญ่! หากเจ้าใช้แต้มของเขาแล้วอย่างใด?”
เขาโบกมือใส่นางอย่างเหนื่อยหน่าย
“วางใจเถอะ! ข้าสัญญาว่าสิ้นเดือนข้าถึงจะส่งใบเสร็จนี้ให้เขา!”
ฉู่หลิวเยว่เองพลันระบายยิ้มออกมาทันที
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส!”
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่เอนกายลงนอนอีกครั้ง
“ไปซะ!”
ฉู่หลิวเยว่โค้งคำนับเขาแล้วหมุนตัวจากไป
ทั่วทั้งหุบเขาโอสถวาโยกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม
สายลมยามเย็นพัดโชยมา พร้อมกับกลิ่นหอมของสมุนไพรก็ลอยตลบอบอวลไปในอากาศ
ผู้อาวุโสเมิ้งเย่นอนไขว้ขาอยู่บนตะแคร่ไม้เก่าๆ ใกล้พัง พลางขยับมือตบพัดสานลงบนตะแคร่ไปมาซ้ำๆ แล้วก่นด่าเสียงต่ำ
“หึ ไอ้แก่วั่นเจิง ครั้งนี้เจ้าได้กระอักเลือดแน่!”
เขาหันศีรษะและมองไปในทิศทางหนึ่งในหุบเขาวาโยโอสถ
ท่ามกลางความมืดมิดของรัติกาล ค่ายกลขนาดใหญ่ที่วางตัวอยู่ในความมืด ส่องประกายแสงสลัวๆ ขณะปกคลุมทุกสิ่งอย่างในนั้นไว้
และตัดขาดสถานที่แห่งนี้ออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
แววตาของชายชราดูซับซ้อนและลึกซึ้งมากขึ้น ผู้อาวุโสเมิ้งเย่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“… นานแล้วที่ไม่เห็นเด็กซนเช่นนี้… เขาดูคล้ายเจ้าอยู่นา สวนสมุนไพรของเจ้าก็ยังถูกสงวนไว้ให้เจ้าดังเดิม แต่นังหนูอย่างเจ้ากลับไม่มาดูแลมันเลย”
เมื่อพูดจบเขาก็ส่ายหัวและหลับตาอีกครั้ง พร้อมกับความคิดถึงคะนึงหาที่ผุดขึ้นในใจ
“ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง…”
…
ค่ำคืนอันแสนสงบสุขสุขผ่านพ้นไป
เข้าสู่เช้าวันใหม่ของอีกวัน
ฉู่หลิวเยว่ตื่นแต่เช้า สองมือเก็บข้าวของที่จำเป็นและออกไปจากเรือน เพื่อเดินทางไปหาผู้อาวุโสวั่นเจิง
หลังจากมาถึง นางก็พบว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงกำลังรอนางอยู่
และหลังจากสองอาจารย์ศิษย์ทักทายกันสองสามประโยค เขาก็เข้าหัวข้อสนทนาหลักทันที
ผู้อาวุโสวั่นเจิ้งให้ฉู่หลิวเยว่ลองปรุงยากับเขาสองสามครา และเมื่อยืนยันได้ว่าตอนนี้นางแข็งแกร่งกว่าที่เห็นแล้วจริงๆ เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจและเริ่มสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
แต่สุดท้ายเขาก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นนั้นไว้ และไม่ได้ถามเรื่องความเป็นมาของฉู่หลิวเยว่แต่อย่างใด
“ตอนนี้เจ้าสามารถปรุงยาระดับเก้าได้แล้ว หากอิงตามความสามารถและความรู้ของเจ้า ไม่นานเจ้าก็น่าจะเลื่อนขั้นได้ และปรุงยาระดับเก้าขั้นสูงสุดได้”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงกล่าวพลางยื่นตำราเล่มหนึ่งออกมา
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับมัน ก่อนจะเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ดูขลังถูกเขียนไว้บนปกว่า…“ปรมาจารย์โอสถ”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์ นี่คือ…”
“ตำราสำหรับผู้ที่เหนือกว่าเซียนหมอระดับเก้า ซึ่งก็คือปรมาจารย์โอสถ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง แล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“มันคือหนึ่งในตำราทางการแพทย์ของสำนักที่สามารถให้คนนอกหยิบยืมได้ และเป็นหนึ่งในตำราระดับเก้าขั้นสูงสุด ที่มีสูตรใบสั่งยาระดับสูงอยู่ ผู้อาวุโสหลายคนล้วนเคยครอบครองตำราเล่มนี้ ตอนนั้นอาจารย์ของข้าก็มอบมันให้ข้า และคราวนี้ก็ถึงคราวข้ามอบมันให้เจ้า”
สูตรยาระดับสูงถือเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียนหมอ และยิ่งระดับสูงมากเท่าไร อนุภาคของมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งปกติแล้ว การที่เซียนหมอระดับสูงคนหนึ่งจะฝึกฝนศิษย์ของตนที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกัน ให้กลายเป็นยอดฝีมือนั้น มิใช่เรื่องง่ายเลย
แค่ฝึกศิษย์คนเดียว เขาก็ต้องสูญเสียพลังปราณและใช้ความพยายามไปมากมาย
แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสวั่นเจิงได้มอบตำราเล่มนี้ให้นาง แค่นั้นก็พิสูจน์แล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับฉู่หลิวเยว่มากเพียงใด
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกซาบซึ้งมาก นางกระชับตำราในมือของตนแน่น และพูดอย่างขึงขังว่า
“ขอบพระคุณคำสอนของท่านอาจารย์ หลังจากนี้ศิษย์จะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก และจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังขอรับ”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงตบไหล่นางอย่างเชื่อมั่น
“เจ้าเป็นเด็กรู้ความ แค่นั้นข้าก็พอใจแล้ว! จงเอาตำราเล่มนี้ไปศึกษาให้ดี หากไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้มาถามข้า!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบอย่างตั้งใจ
…
ครั้นยามที่เราตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ
เพียงพริบตาเดียวก็ถึงยามเย็นแล้ว ฉู่หลิวเยว่เก็บของเตรียมกล่าวลา
นางเงยหน้ามองดูท้องฟ้า พลันฉุกคิดถึงถวนจื่อที่ยังอยู่บนเขาหมื่นเมรัย ไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้นกับมันบ้าง
“ท่านอาจารย์ ภูเขาหมื่นเมรัยยังเปิดอยู่หรือไม่ขอรับ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงชะงักแล้วลองคำนวนเวลา
“น่าจะใกล้เปิดแล้ว เดิมทีกำหนดเปิดของมันคือเมื่อสองวันก่อน แต่ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัย พวกของปั๋วเยี่ยนเลยเลื่อนกำหนดการออกไปอีกสองสามวัน ถ้าจำไม่ผิดก็… น่าจะเปิดในวันมะรืนนี้”
เขาพูดพลางเหลือบมองฉู่หลิวเยว่อย่างระแวง
“อันใด เจ้าคิดจะขึ้นไปทำอันใดอีก?”
เขาจำได้ขึ้นใจว่าฉู่หลิวเยว่ถูกลงโทษแล้วสามครั้ง และสองในสามเป็นเพราะเขาขึ้นไปบนเขาหมื่นเมรัย!
และมันทำให้เขาเริ่มไม่ชอบภูเขานั่นขึ้นมารำไร
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับอย่างไว
“ไม่มีอันใดขอรับ ศิษย์แค่ถามเฉยๆ”
“ข้าขอบอกเลยว่า จากนี้ไปเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนนั้นอีกแล้ว!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเตือน
“ก่อนหน้านี้เพราะเจ้าต้องหลอมวิญญาณศาสตรา และเพราะซั่งอวี้เซิ่นพยายามปกป้องเจ้าอย่างเต็มที่ ปั๋วเยี่ยนจึงไม่ได้สั่งลงโทษเจ้าขั้นรุนแรง แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก… แม้แต่อาจารย์อย่างข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหายใจ
ดูเหมือนท่านผู้อาวุโสหลายคนจะหมดสศรัทธาในตัวนางไปแล้ว
“ขอรับ! ศิษย์จักจำไว้!”