ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1292 ตรวจสอบ
“เรื่องมันยาว เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่ชอบฟังหรอก”
ดูเหมือนว่าซั่งอวี้เซินจะไม่อยากเล่าเรื่องนี้สักเท่าไร
ฉู่หลิวเยว่เม้มปากเบาๆ แล้วพูดว่า
“อันที่จริง หลังจากเข้ามาเรียนในสำนักวิชา ศิษย์ก็ได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับคนผู้นั้น”
ซั่งอวี้เซินเหลือบมองนางราวสงสัยแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
“ข้าเข้าใจ เพราะตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นอยู่ที่นั่นตลอด ต่อให้ลบชื่อของนางออกไป ก็ไม่สามารถกลบเรื่องราวของนางได้อยู่ดี”
ทัศนคติของซั่งอวี้เซินดูเปิดกว้างและผ่อนคลายอย่างมาก แตกต่างจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่ค่อนข้างทำตัวมีลับลมคมในยามเอ่ยถึงเรื่องนี้
อาจเป็นเพราะเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสประจำสำนักวิชา
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ
“ความจริงแล้วเจ้ากับนางมีส่วนที่คล้ายกันมาก”
ซั่งอวี้เซินกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวฉู่หลิวเยว่
“ช่วงแรกที่นางมาเยือนสำนักวิชา อยู่ดีไม่ว่าดี วันถัดมานางก็ถูกนำตัวไปขังไว้บนเขาเฝิงหมิน และหลังจากออกมาได้ นางก็ยังทำผิดพลาดซ้ำๆ แต่เจ้าสำนักปกป้องนาง และผู้อาวุโสหลายคนก็รักใคร่เอ็นดูนางยิ่งนัก ดังนั้นทุกคนจึงทำเป็นหลับหูหลับตา และสุดท้ายก็ไม่ได้ลงโทษนางขั้นรุนแรงแต่อย่างใด”
เขาถอนหายใจพร้อมคลื่นอารมณ์บางอย่างที่พรั่งพรูออกมา
“น่าเสียดายที่หลังจากนั้น…”
ทว่าจู่ๆ น้ำเสียงของเขากลับหยุดชะงัก
ในใจของฉู่หลิวเยว่ยิ่งร้อนรนและสงสัยกว่าเดิม
ความจริงแล้วตอนที่นางเข้ามาในสำนักวิชาแรกๆ นางก็แอบสัมผัสได้ว่าเหล่าผู้อาวุโส ดูมีความอดทนและโอนอ่อน ผ่อนผันให้ตัวนางในอดีตมาก
มิฉะนั้น ศิษย์ธรรมดาอย่างนางจะได้รับอนุญาตให้เปิดค่ายกลของสำนักหรือ?
ที่แท้ก็เพราะพวกเขารักนางมาก
แต่น่าเสียดายที่นางจำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้
แม้แต่ความทรงจำตอนที่ซั่งอวี้เซินเคยช่วยนางไว้ ก็ยังไม่มี
“แค่นั้นแหละ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นอดีตไป”
ซั่งอวี้เซินเปลี่ยนบทสนทนาทันที ก่อนจะหันไปมองฉู่หลิวเยว่อย่างคาดหวัง
“กระบี่ชื่อเซียวเล่มนั้น…”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ พลางตั้งสมาธิแล้วเรียกกระบี่ชื่อเซียวออกมา!
นางยื่นกระบี่ส่งให้เขา
“เรียนเชิญขอรับ ท่านผู้อาวุโส”
ซั่งอวี้เซินแทบหยุดหายใจ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังกระบี่ชื่อเซียวตาไม่กะพริบ
เขาทั้งรู้สึกตื่นเต้น ลนลาน และซาบซึ้ง…
มันคือสิ่งที่เขาตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอมานานหลายปี!
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และยื่นมือออกไปหยิบกระบี่ขึ้นมา แต่พอยื่นมาออกมาได้ครึ่งทาง เขาก็รีบดึงมือกลับไปเช็ดที่ชายเสื้อคลุมของตน แล้วค่อยหยิบกระบี่ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง และเถิดทูนเกินกว่าสิ่งใด
แม้ฉู่หลิวเยว่จะรู้ว่าเขาชื่นชอบกระบี่ชื่อเซียวมาก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับมันขนาดนี้
นี่มันดูราวกับคลั่งไคล้แลหลงใหลมากกว่าอีก
ซั่งอวี้เซินให้มือข้างหนึ่งจับฝักของมันไว้ และใช้มืออีกข้างจับด้ามกระบี่ ก่อนจะกลั้นลมหายใจแล้วตั้งสมาธิ
หลังจากความตื่นเต้นในใจสงบลง เขาก็เริ่มดึงกระบี่ชื่อเซียวออกมาช้าๆ
มันเย็นเชียบราวหิมะ และคมกริบเหลือคณา!
แค่มองดูก็รู้สึกเหมือนถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวของกระบี่ หั่นร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ แล้ว!
ใบหน้าของซั่งอวี้เซินเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาววับ
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ… ช่างสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง!”
เขากวาดสายตามอง เก็บรายละเอียดบนตัวกระบี่ไปมาอย่างระมัดระวัง
รวมถึงทุกลวดลายบนฝัก หัวมังกรบนด้าม และตัวกระบี่ที่ถูกขัดเกลาอย่างสมบูรณ์
ทุกจุดนั้นถูกหล่อหลอมและขัดเกลาจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ!
ฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่เยื้องๆ กัน แอบสังเกตท่าทีตื่นเต้นที่มิอาจเก็บซ่อนได้ของเขา พลันรู้สึกประทับใจขึ้นมา
บางที มันอาจจะเป็นความรู้สึกของผู้หลอมอาวุธตัวจริงเท่านั้นก็ได้!
พวกเขาจะรู้สึกศรัทธาและชื่นชมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดเช่นนี้ตลอดไป!
และยากมากที่คนเย่อหยิ่งและไม่แยแสต่อโลกภายนอกมาโดยตลอด จะจริงจังและเคร่งเครียดกับเรื่องแบบนี้
ชิ้ง!
ในที่สุดซั่งอวี้เซินก็ดึงกระบี่ออกมา!
กระบี่เล่มนี้หนักกว่ากระบี่พันเล่ม และค่อนข้างยากเกินกว่าที่เขาจะยกมันขึ้นมาได้
แรงกดดันอันแรงกล้า ทำให้เขาเกือบหายใจไม่ออก
แต่ซั่งอวี้เซินยังคงยืนกรานที่จะยกมันขึ้นมา
หากแต่สองมือของเขากลับสั่นไหวอย่างรุนแรง
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงช้าๆ
ตอนแรกที่นางหยิบมันออกมาก่อนหน้านี้ มันไม่เห็นจะหนักเลยสักนิด แต่พอไปอยู่ในมือของซั่งอวี้เซิน ไยมันถึงกลายเป็นแบบนั้น?
ย้อนกลับไปตอนที่นางสู้กับจินเหลยเพื่อสิ่งนี้ และตอนนั้นมันก็ยังไร้เจ้าของ แต่เหตุใดมันถึงดูไม่หนักเท่าตอนนี้…
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็เอ่ยปากถามสิ่งที่สงสัยออกไป
ซั่งอวี้เซินที่ได้ยินก็ถึงกับเอือมระอา
“เด็กโง่! เมื่อก่อนกระบี่เล่มนี้ไร้จิตวิญญาณ มันเลยหนักแค่พอประมาณ หลายคนถึงอย่างช่วงชิงมันนัก! แต่ตอนนี้เจ้าได้หลอมให้มันกลายเป็นวิญญาณศาตราแล้ว และกลายเป็นนายของมันแล้ว แน่นอนว่ามันย่อมหนักขึ้นกว่าเดิมถึงสิบเท่า!”
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว และจำต้องปล่อยกระบี่ชื่อเซียว
ปลายกระบี่พุ่งแทงทะลุพื้นด้านล่าง จนเกิดรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้นทันที!
เขาหอบหายใจอย่างหนัก แล้วพูดว่า
“เจ้าคิดว่าทุกคนจะโชคดีอย่างเจ้าหรือไร!”
ฉู่หลิวเยว่พลันตระหนักรู้อย่างชาญฉลาด
“อย่างนี้นี่เอง! ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชี้แนะขอรับ!”
ซั่งอวี้เซินยกมือข้างหนึ่งขึ้นชี้นาง
“จะ เจ้า เจ้า…”
บ้าเอ๊ย โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ!
เขาเฝ้าฝันถึงกระบี่ชื่อเซียวมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ เพราะเขาหยิบมันขึ้นมาไม่ได้
แล้วฉู่เยว่ล่ะ? เขาแทบไม่รู้เรื่องของมันเลย แต่กลับได้เป็นเจ้าของกระบี่ชื่อเซียวเนี่ยนะ!
ครั้นนึกเปรียบเทียบแล้วช่างน่าโมโหนัก
แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตากลมใสของฉู่หลิวเยว่ เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
พอกันที มาพูดตอนนี้แล้วจะได้ประโยชน์อันใด?
“พอแล้ว เอาคืนไป!”
ซั่งอวี้เซินเลื่อนกระบี่ไปทางฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจนิดหน่อย
“ท่าน…ไม่อยากดูมันแล้วหรือขอรับ?”
ก่อนหน้านี้ไหนบอกว่าอยากสังเกตและศึกษามันหนักหนา ยอมแพ้ตอนนี้มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ?
ซั่งอวี้เซินหัวเราะเยาะอย่างเหลืออด
“ข้าแค่อยากเห็นโครงสร้างของมัน เจ้าคิดว่าข้าอยากดูอันใดกัน? ต่อให้ข้ามองมันทั้งวันทั้งคืน เจ้าสิ่งนี้ก็ไม่มีวันเป็นของข้า! รีบเอาไปเสีย! เจ้านี่มันหนักเกินไปแล้ว!”
เขาเร่งนางทันควัน
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เอื้อมมือออกไปหยิบกระบี่ชื่อเซียวกลับมา
นางยกมันขึ้นมาดู
“เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าดูโครงสร้าง? มันสำคัญมากเลยหรือขอรับ?”