ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1293 รอยเลือด
“ก็ต้องสำคัญน่ะสิ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซั่งอวี้เซินก็กลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง และเริ่มอธิบายให้ฉู่หลิวเยว่ฟังอย่างฉะฉาน
“สำหรับการหลอมอาวุธ วัสดุในการหลอมคือปัจจัยหลัก เจ้าจะหลอมอาวุธโบราณชั้นยอดได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวัสดุเป็นอันดับแรก และอย่างที่สองก็อยู่ที่โครงสร้างของมัน ซึ่งเจ้าต้องกำหนดปริมาตรในการบรรจุทัณฑ์สวรรค์ในสองอย่างนี้ให้ดี และต้องคำนวณให้รอบคอบว่ามันสามารถต้านทานอนุภาคเหล่านั้นได้เท่าใด เพราะยิ่งบรรจุทัณฑ์สวรรค์ได้มากเท่าไร อาวุธโบราณก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และย่อมมีประโยชน์ต่อการใช้งานมากกว่า”
“เจ้าดูกระบี่ชื่อเซียวนี่สิ ไม่ว่าจะมองอย่างใด มันก็เหนือกว่าในทุกๆ ด้าน ด้วยเหตุนี้มันถึงหล่อหลอมเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อได้”
เขาถอนหายใจเบาๆ
“ในอดีตท่านผู้นั้นทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อหลอมกระบี่ชื่อเซียวเล่มนี้ แต่น่าเสียดายที่มันถูกฝังไว้ใต้แอ่งของบุหรงมรกตอยู่นานหลายพันปี และไม่เคยได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลยสักครา ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นของเจ้าแล้ว หากรู้ว่ามันถูกส่งต่อให้เจ้า วิญญาณของท่านผู้นั้นบนสุราลัย คงพออกพอใจแล้วกระมัง?”
“ยิ่งระดับของอาวุธโบราณสูงขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งซับซ้อนและเข้าใจยาก เช่นเดียวกับกระบี่ชื่อเซียวเล่มนี้ เมื่อครู่ข้าจ้องมองมันพักหนึ่ง ก็รู้สึกยากจะรับมือแล้ว แต่ถ้าเพ่งจิตมองเข้าไปให้ลึกมากกว่านี้ อาจจะเข้าใจมันเพิ่มขึ้นก็ได้”
ซั่งอวี้เซินกล่าวเสียงจริงจัง
“น่าเสียดายที่เจ้ามิใช้ช่างหลอมอาวุธ เพราะหากเจ้าเป็น และมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ในมือ คงหลอมมันได้สบายกว่าคนอื่นหลายเท่า แต่ถ้าเจ้าเก่งพอ ในอนาคตเจ้าอาจมีโอกาสได้หลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุด”
ทุกคำที่กล่าวมานั้นเถรตรง ไร้ซึ่งการตัดพ้อใดใด
ฉู่หลิวเยว่รับฟังอย่างเงียบเชียบ ทว่าใจสั่นรัวด้วยความตื่นเต้น
ช่างหลอมอาวุธหรือ…
แต่พูดตามจริงแล้ว นางเองก็ถือว่ามีทักษะของช่างหลอมอาวุธอยู่ในตัวครึ่งหนึ่งแล้วกระมัง?
ช่างหลอมอาวุธที่แท้จริงนั้น จะต้องอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์จำนวนมากออกมาในคราเดียวให้ได้
ซึ่งหลังจากที่ผู้ฝึกตนทะลวงขอบเขตพลังปราณ และขึ้นสู่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพได้แล้ว จึงจะสามารถระบุได้ว่าคนผู้นั้นมีพรสวรรค์ในการเป็นช่างหลอมอาวุธหรือไม่
ส่วนคำถามที่ว่านางมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นช่างหลอมอาวุธตัวจริงหรือไม่นั้น เกรงว่าคงต้องรอให้นางทะลวงสู่ขั้นผู้แข็งแกร่งระดับเทพได้แล้วถึงจะรู้
ซั่งอวี้เซินเคลื่อนตัวไปอีกทางหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิ
“ข้าจะนั่งสมาธิสักพัก เจ้าจะไปเดินดูรอบๆ ก็ได้ แล้วก็ ที่ภูเขาด้านหลังนั้นมีเศษวัสดุมากมาย ถ้าเจ้าชอบก็หยิบมันไปได้เลย”
ครั้นพูดจบเขาก็หลับตาลงแล้วทำสมาธิ
ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างหวั่นเกรง
“ท่านผู้อาวุโส มีเรื่องหนึ่งที่ศิษย์อยากจะถามท่านขอรับ?”
ซั่งอวี้เซินยังคงหลับตา แลดูสงบนิ่ง
“ว่ามา”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
“วันนั้นศิษย์ก่อเรื่องใหญ่โตไว้บนเขาหมื่นเมรัย ไม่ทราบว่ายามนี้สิ่งปลูกสร้างบนเขานั่น ได้รับการซ่อมบำรุงหรือยังขอรับ?”
ซั่งอวี้เซินหัวเราะเบาๆ พลันลืมตาขึ้นมองนาง
“เจ้ายังฝังใจกับเรื่องพวกนั้นอยู่อีกหรือ? วางใจเถอะ! วันนั้นเจ้าสร้างความเสียหายไว้มาก แต่เพียงไม่กี่วันพวกข้าก็จัดการกับซากประหลักหักพังเหล่านั้นได้หมด โดยพื้นฐานแล้ว ก็แปลว่าพวกมันได้รับการฟื้นฟูและกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว”
“แล้วไยตอนนี้ถึงยังไม่เปิดมันล่ะขอรับ?” ฉู่หลิวเยว่ถามต่อทันที “ศิษย์คิดว่าตนเองเป็นสาเหตุของปัญหาร้ายแรงนี้… เลยรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก…”
ซั่งอวี้เซินโบกมือให้เขา โดยมิได้ตะขิดตะขวงใจใดๆ
“ไม่ต้องกังวล ภูเขาหมื่นเมรัยยังอยู่ดี ส่วนสาเหตุที่ยังไม่เปิดนั้น… ขึ้นอยู่กับข้อพินิจของปั๋วเหยี่ยนล้วนๆ เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก”
หลังจากพยายามถามอยู่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็จำต้องยอมแพ้
เมื่อเห็นว่าซั่งอวี้เซินเริ่มฝึกสมาธิต่อ ฉู่หลิวเยว่เองก็เริ่มใช้ความคิด แล้วเดินสำรวจไปรอบๆ
โอกาสเช่นนี้หายากนัก ฉะนั้นนางต้องตั้งใจสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว
นอกจากนี้ นางเองก็เคยมีชื่ออยู่บนตารางฝั่งช่างหลอมอาวุธ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางเองก็มีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่เหมือนกัน
ร่างเพรียวบางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ บางทีนางอาจจะจำอันใดขึ้นมาได้บ้าง
…
ทั่วทั้งพื้นเงียบสงัด
บนภูเขาแห่งนี้ไม่มีอันใดให้ดูมากนัก
อาจเป็นทัณฑ์สวรรค์ที่ห้ำหั่นลงมายามหลอมอาวุธ ทำให้ไม่มีคนอาศัยอยู่บนเขา ทว่าตรงกันข้ามกลับมีร่อยรอยการหลอมอาวุธปรากฏขึ้นทุกที
เขาลูกนี้เองก็เป็นอาณาเขตของซั่งอวี้เซินที่ทางสำนักเตรียมไว้ให้เขา ยามกลับมาอยู่ที่สำนักวิชาปีละสองเดือน
หากเป็นคนอื่น ภูเขาลูกนี้คงโดนฟ้าผ่าจนแบ่งครึ่งไปนานแล้ว
ขณะจมอยู่กับความคิด ฉู่หลิวเยว่ก็เดินไปถึงด้านหลังของภูเขาโดยไม่รู้ตัว
ดวงตากลมโตพลันทอประกายวาววับ
มีของดีกองรวมกันอยู่ที่นี่มากมาย
ช่างหลอมอาวุธจะรวบรวมวัสดุล้ำค่าต่างๆ ไว้เพื่อเตรียมหลอมอาวุธ แต่บางอย่างอาจไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงๆ
และเหมือนว่าจะถูกทิ้งกองรวมกันที่นี่
เพียงหยิบออกมาชิ้นหนึ่งก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้มหาศาล
ต้องบอกว่าช่างหลอมอาวุธนั้น ดูทะนงตนกว่าเซียนหมอเสียอีก
พวกเขาไม่มีห่วงหรือกังวลว่าจะถูกขโมยของเลยสักนิด
ฉู่หลิวเยว่เดินไปดูและเลือกวัสดุที่น่าสนใจบางอย่างออกมา
รูม่านตาของนางพลันหดตัวลงในทันที
บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยเศษหยกมากมาย นางเห็นจี้หยกขนาดเท่าฝ่ามือปะปนอยู่ระหว่างเศษหยกเหล่านั้น มันส่องแสงจางๆ ภายใต้แสงอัสดง
จี้หยกนี้มีสีขาวใสและโปร่งแสง
อาจเป็นเพราะผ่านมาหลายปีแล้ว บนเนื้อผิวของมันจึงปรากฏร่อยรอยที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่
ครั้นปะปนไปกับเศษหยกเหล่านี้แล้ว ยิ่งดูไม่โดดเด่นสะดุดตา
แต่ดวงตาของฉู่หลิวเยว่กลับจับจ้องไปที่จี้หยกชิ้นนั้นไม่วางตา หัวใจดวงน้อยเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
นางยื่นมือออกไปแล้วดึงจี้หยกออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางมันลงบนมืออีกข้างแล้วตรวจดูอย่างละเอียด
นี่คือจี้หยกทรงกลม ที่มีตำหนิขนาดเท่าเล็บมืออยู่ตรงขอบล่าง ราวเผลอไปกระแทกกับอันใดเข้าโดนไม่ตั้งใจ
และหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตรงตำหนินั้นมีรอยแตกร้าวอยู่สองสามรอย
ราวกับถ้าเผลอกระทบกระทั่งอีกแค่นิดเดียว จี้หยกนี้ก็จะแตกสลายอย่างสมบูรณ์
แต่รอยนี่ไม่ใช่สิ่งที่รบกวนจิตใจของฉู่หลิวเยว่
แต่เป็น…ลวดลายที่อยู่บนนั้นต่างหาก!
ตรงกลางของจี้หยกมีลายหัวมังกรสลักไว้อยู่
และนางรู้จักลายลักษณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี!
มือของนางสั่นเครือขณะพลิกจี้หยกชิ้นนั้น
ที่ด้านหลังมีตัวอักษรสองตัวถูกสลักไว้ เพียงแต่มันดูสึกหลอไปตามกาลเวลา
แต่หลังจากเช็ดฝุ่นออกแล้ว ก็เผยให้เห็นตัวอักษรเหล่านั้นเต็มสองตา
…เทียนลิ่ง!
…
นี่คือของจากราชวงศ์เทียนลิ่ง!
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่มั่นใจมาก!
ลวดลายแบบนี้ ตัวอักษรที่ถูกสลักนี่… ล้วนแสดงให้เห็นที่มาของมัน!
และประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ลายมือ… ถ้านางจำไม่ผิด มันคือลายมือขององค์ไท่จู่!
ฉู่หลิวเยว่พยายามควบคุมหัวใจที่เต้นโครมครามของตน แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า
“องค์ไท่จู่”
เมื่อสัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์ที่ดูผิดปกติของนาง องค์ไท่จู่ก็รีบตอบรับด้วยความเป็นห่วง
“เยว่เออร์ มีอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยายามสงบสติอารมณ์
“มีบางอย่างที่ข้าอยากให้ท่านช่วยพิสูจน์มัน ท่านสะดวกปรากฏกายหรือไม่?”
องค์ไท่จู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกมาจากกระบี่ชื่อเซียว
แม้ว่าการปรากฏตัวที่นี่จะไม่เหมาะสมนัก และอาจจะทำให้ผู้คนจากสำนักหลิงเซียวสังเกตเห็น แต่เขาสนใจความรู้สึกของฉู่หลิวเยว่มากกว่า
ฉู่หลิวเยว่ส่งจี้หยกให้เขา
“องค์ไท่จู่ โปรดดูเจ้าสิ่งนี้ มันคือ… เป็นของท่านหรือเปล่า?”
องค์ไท่จู่ก้าวไปข้างหน้าแล้วตั้งใจมองมันให้ดีๆ
ทว่าเพียงแวบเดียว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที!
ฉู่หลิวเยว่มั่นใจแล้ว ว่ามันคือจี้ขององค์ไท่จู่!
องค์ไท่จู่โพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“นะ…นี่คือจี้หยกของข้าจริงๆ แต่ไยมันถึงมาอยู่ที่นี่?”
ฉู่หลิวเยว่ชี้ไปที่ตำหนิบนจี้หยก
“องค์ไท่จู่ มันมีคราบเลือดตรงรอยแตกเหล่านี้ด้วย”
“นี่คือ…ของท่านหรือ?”