ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1297 มีคนคอยปกป้องนางอยู่
สีหน้าของเย่ว์หลิงพลันเปลี่ยนไปในบัดดล
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เฉินอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“นี่ไม่สำคัญเสียหน่อย สำคัญอยู่ที่ว่าข้ารู้แล้ว ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะให้ยืมตัวคนผู้นี้หรือไม่?”
ดวงตาทั้งสี่ของคนทั้งสองสบประสาน บรรยากาศโดยรอบควบแข็งขึ้นมาอยู่บ้าง
สองฝ่ายต่างประจันหน้ากันอย่างเงียบเชียบ
ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นเย่ว์หลิงที่ทำลายความเงียบลงก่อน
“ในเมื่อเป็นเรื่องสลักสำคัญก็ย่อมให้หยิบยืมได้อยู่แล้ว เจ้าอยากได้เท่าไรก็พูดมาเถอะ”
หางตาปลายคิ้วของเฉินอีเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
“ขอบคุณมาก”
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองที่เดิมทีตึงเครียดสลายบรรเทาไปโดยพลัน!
หลังพูดคุยตัดสินใจเรื่องรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว งานร่วมมือของคนทั้งสองก็สำเร็จลุล่วงเสียที
โดยรวมแล้วใช้เวลาไปราวๆ หนึ่งเค่อเท่านั้น
เฉินอีหยัดกายลุกขึ้น
“ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจที่หยิบยื่นให้ ข้ายังมีธุระต้องขอตัวก่อน”
“ช้าก่อน”
เย่ว์หลิงเอ่ยรั้งเขาด้วยยังคงงุนงงสงสัย
“เจ้า… ยังรู้อันใดอีก?”
ตัวฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนขององค์โอรสสวรรค์ ทว่าผู้นำของสิบสามผู้พิทักษ์เยว่อย่างเฉินอี
กลับรู้ได้
นี่ออกจะแปลกประหลาดเกินไปหน่อยแล้ว
เย่ว์หลิงครุ่นคิดมาหลายร้อยหลายพันครั้งก็ยังคิดไม่ตกเสียที
สายตาที่ดูจะมองทุกเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่งของเฉินอี ทำให้เขารู้สึกแคลงใจเหลือเกินว่าเฉินอีต้องล่วงรู้ความลับอื่นอีกมากมายเป็นแน่
ฝีเท้าของเฉินอีชะงัก เขาผินหน้ามาเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า
“เยอะกว่าที่เจ้าคิดไว้มากก็แล้วกัน”
กล่าวจบ เขาก็เดินจ้ำอ้าวออกไปทันที
เย่ว์หลิงที่เผยอปากจะพูด แต่กลับพบว่าคนเขาเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว
…
ณ เผ่าเซียนสุ่ยหลิง
ภายในห้องหับ เจียงจื่อหยวนกำลังมองดูจดหมายในมือด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
นางอ่านตัวอักษรบนจดหมายออกทุกตัว ทว่าเมื่อนำพวกมันมาเรียงต่อกัน นางดูอย่างใดก็ไม่เข้าใจ
กองทัพถูกกวาดล้าง…
ลอบสังหารเรียงตัว…
ไร้ผู้ใดรอดพ้น…
ทั้งหมดนี่หมายความว่าอย่างใดกัน!?
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคนที่ส่งไปล้วนเป็นทหารฝีมือดีแลยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูลเจียง แล้วเหตุใดถึงไปถูกตีแตกอยู่ที่แคว้นเย่าเฉินเล็กๆ นั่นได้!?
สืบข่าวมาไม่ได้ไม่พอ ยังต้องมาเสียกำลังพลจำนวนมากไปอีก!
ด้วยแรงโทสะ ร่างของนางจึงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จากนั้นนางพลันผุดลุกขึ้น ก่อนจะกวาดเอาถ้วยชาและสิ่งของบนโต๊ะทั้งหมดขว้างลงพื้น!
เคร้งคร้าง!
“จื่อหยวน นี่เจ้ากำลังทำอันใด!?”
เจียงเห่อเทียนเพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามาเจอฉากนี้โดยไม่ทันตั้งตัวจึงส่งเสียงร้องบอกให้นางหยุดโดยพลัน
เมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและเผยแววกราดเกรี้ยวของเจียงจื่อหยวน เขาก็หันไปส่งสายตาเป็นเชิงให้บรรดาข้ารับใช้ เหล่าข้ารับใช้ที่พอจะเข้าใจสถานการณ์ก็หลุบตาลงต่ำแล้วจากไป โดยไม่ลืมปิดประตูให้เรียบร้อยสนิทดี
เจียงเห่อเทียนจึงได้กระวีกระวาดเดินไปหานางก้าวใหญ่
“มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ เจ้าถึงได้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้?”
ระหว่างที่เอ่ยอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นจดหมายฉบับหนึ่งในมือของเจียงจื่อหยวนจึงยื่นมือไปหยิบมันมา ก่อนจะคลี่อ่านดูรอบหนึ่ง
ทว่าไม่อ่านก็ดีอยู่แล้ว ครั้นเขาอ่านจบ สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา
“เหตุ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!?”
อารามตื่นตกใจ น้ำเสียงของเขาจึงเสียดแหลมขึ้นมาทันใด
นัยน์ตาสองข้างของเจียงจื่อหยวนแดงก่ำ นางกำหมัดแน่น พลางเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
“ข้าบอกแล้วว่าข้างในนั้นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล! แคว้นเย่าเฉินเล็กๆ นั่น กระทั่งจอมยุทธ์ระดับเก้าก็หาได้ยากแล้ว จะมาสู้พวกเราได้อย่างใด? จะต้องมีคนคอยลอบขัดขาเราในที่ลับอยู่ตั้งแต่แรกเป็นแน่! ดูอย่างใดก็ต้องเป็นนังหญิงอัปรีย์สารเลวนั่นแน่ๆ!”
นอกจากนางแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?
ก่อนหน้านี้ดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา มาตอนนี้ดูกลับเป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ!
หากมิใช่เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ ไฉนจึงต้องทำถึงเพียงนี้!?
เจียงเห่อเทียนพลิกจดหมายฉบับนั้นไปมาหลายรอบด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น
“ไม่ว่าจะเป็นนางหรือไม่ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สำคัญอยู่ที่ว่านี่ใช้พิสูจน์ได้ว่าพื้นเพภูมิหลังของนางมิได้ธรรมดาสามัญเหมือนที่เขาลือกันก่อนหน้านี้ อีกอย่าง ดูจากเนื้อความในจดหมายฉบับนี้แล้ว เหมือนว่าจะมีกองกำลังสองฝ่ายคอยอารักขานางอยู่ในมุมมืด ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของกองกำลังสองฝ่ายนี้ดูจะรอบคอบพอสมควร”
เจียงจื่อหยวนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางหันขวับไปมองทางเขา เอ่ยว่า
“ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้เป็นพวกเราที่ประมาทเองถึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ครานี้พวกเราส่งคนไปให้มากอีกหน่อยเถิด! แล้วก็ต้องเลือกคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย! ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะถูกตีแตกเช่นนี้อีก!”
“ยังจะไปอีกหรือ?”
เจียงเห่อเทียนกลับไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ของนางแม้แต่น้อย
“จื่อหยวน ครั้งนี้การสูญเสียของพวกเราหนักหนาสาหัสนัก หากยังส่งคนไปแล้วเกิดเรื่องเช่นเดิมจะทำอย่างใด? ต้องเข้าใจด้วยว่าสถานะของคนเหล่านั้นที่อยู่ข้างในมิใช่ต่ำต้อย! หลังจากนี้จะให้ข้าไปอธิบายกับคนในตระกูลว่าอย่างใดกัน?”
เขาเป็นประมุขของตระกูล มีอำนาจล้นเหลือก็จริง แต่เรื่องที่ต้องจัดการก็มีมากมาย เรื่องที่ต้องรับผิดชอบเองก็หนักหนา
ลำพังแค่ผู้บาดเจ็บล้มตายครานี้ยังพอหาเหตุผลส่งๆ มาปิดบังเก็บงำไว้ได้ แต่ถ้าหากกลับมาเป็นอีกรอบเดียวกันเล่า?
เพราะเรื่องนี้เป็นกิจลับอย่างมากโดยเฉพาะ ดังนั้นเขาจึงส่งคนกลุ่มที่ตนไว้ใจมากที่สุดไป
หลังจากศึกครั้งนี้ เขาที่สูญเสียคนไปจำนวนมากเพียงนี้ในคราเดียวเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อยไปกว่ากัน!
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างใดกัน? หรือท่านจะยอมแพ้เช่นนี้ ไม่สืบต่อแล้วหรือ?”
เจียงจื่อหยวนเอ่ยด้วยความรู้สึกเหลือจะเชื่อ
“พวกเราสูญเสียไปเยอะขนาดนี้ ท่านกลับคิดจะช่างมัน ปล่อยมันไปเช่นนี้หรือ?”
“พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น จื่อหยวน เจ้าไม่สามารถมองแค่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้ เจ้าต้องมองในภาพรวมด้วยสิ!”
เจียงเห่อเทียนเอ่ยเกลี้ยกล่อมนางไม่หยุดหย่อน
“ขนาดพวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ส่วนเราอยู่ในที่ลับยังถูกกวาดล้างทั้งกองทัพได้ในครั้งแรกแบบนี้… ก็พอจะบอกได้แล้วว่าเราไม่ควรไปยุ่มย่ามกับที่นั่น! ข้าว่าเราสืบหาข้อมูลก่อน รอได้เบาะแสของอีกฝั่งชัดเจน…”
เจียงจื่อหยวนฉีกยิ้มเย็นเยียบ “สืบหาเบาะแส? ที่ส่งคนไปตอนแรกก็เพื่อทำเรื่องนี้มิใช่หรือ แล้วผลลัพธ์เล่า?”
เจียงเห่อเทียนพูดไม่ออก
เห็นเจียงจื่อหยวนมีท่าทียืนกรานเช่นนี้ เขาก็เก็บจดหมายฉบับนั้นลงไป ก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม
“กับเรื่องนี้เจ้าจะเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ ต้องฟังคำพ่อเท่านั้น! รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง! แล้วก็เจ้าน่ะอยู่บ้านมานานมากแล้วนะ ได้เวลากลับสำนักแล้วกระมัง?”
เจียงจื่อหยวนกำลังจะอ้าปากเถียงต่อเมื่อฟังครึ่งประโยคแรกจบ ทว่าพอได้ยินประโยคหลัง นางกลับปิดปากเงียบโดยพลัน
นางหันศีรษะกลับไป ในน้ำเสียงแฝงด้วยความดื้อรั้นและแน่วแน่เด็ดขาด
“ข้าไม่อยากกลับไป”