ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1298 โน้มน้าว
ตอนที่ 1298 โน้มน้าว
“เจ้าว่าอันใดนะ?”
สีหน้าของเจียงเห่อเทียนพลันเย็นชาลง
“ต่อให้เจ้าจะโมโหมากแค่ไหน นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว หรือว่าเจ้ายังไม่ใจเย็นลงอีก? ก่อนหน้านี้พ่อถามเจ้าหลายรอบแล้ว เจ้าก็เอาแต่พูดว่าไม่อยากกลับไป มาครั้งนี้ก็เอาอีก หรือว่าหลังจากนี้เจ้าคิดจะไม่กลับไปสำนักอีกเลยหรือไร!?”
เอ่ยถามประโยคสุดท้ายจบ เสียงของเขาพลันดุดันขึ้นมาหลายระดับ
ในใจเจียงจื่อหยวนสั่นระรัว รู้ได้ทันทีว่าเขาโกรธเข้าแล้วจริงๆ จึงอดกริ่งเกรงขึ้นมาไม่ได้
ทว่าในขณะเดียวกัน เพลิงแผดเผาในใจของนางเองก็พวยพุ่งขึ้นมาเช่นเดียวกัน
“ก็ข้าไม่อยากกลับไป! ท่านถามข้าซ้ำอีกรอบ ข้าก็จะตอบเหมือนเดิม!”
แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากกลับไป สิ่งที่รอนางอยู่ย่อมไม่พ้นเสียงหัวเราะหยันและคำหยามเหยียดไม่รู้จบ!
เจียงเห่อเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“จื่อหยวน เลิกดื้อได้แล้ว หลังจากนี้พ่อจะคอยจับตาดูเรื่องราวของฝั่งนี้อย่างใกล้ชิด เจ้ากลับสำนักไปก่อน อย่าปล่อยให้พวกผู้อาวุโสตันชิงเขาต้องร้อนใจเลย…”
เจียงจื่อหยวนไม่เอ่ยตอบ เห็นได้ชัดว่านางยังคงต่อต้าน
ความอดทนของเจียงเห่อเทียนเองก็ค่อยๆ หมดลงเช่นกัน
เขาไม่เข้าใจเลยว่าบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนที่เมื่อก่อนทั้งว่านอนสอนง่าย ฉลาดเฉลียวและใจกว้าง เหตุใดมาบัดนี้เพียงอึดใจเดียวก็กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นคนเช่นนี้ไปได้?
“จื่อหยวน พ่อจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ว่าจะไม่กลับไปสำนักแล้วจริงๆ?”
น้ำเสียงของเจียงเห่อเทียนแฝงด้วยความขุ่นมัว
อย่างใดเสียในใจของเจียงจื่อหยวนยังคงเกรงกลัวอยู่บ้าง ท่าทีของนางจึงอ่อนลง ก่อนจะหลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้าออกมาทั้งสองข้าง
“ท่านพ่อ มิใช่ว่าข้าไม่อยากกลับไป แต่ว่า… พวกเขารังแกคนเกินไปแล้วจริงๆ!”
หลังจากนั้น เจียงจื่อหยวนก็ร้องห่มร้องไห้พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักให้เจียงเห่อเทียนฟังรอบหนึ่ง
แน่นอนว่าระหว่างที่เล่านั้นก็ทำการใส่สีตีไข่ กลับขาวเป็นดำไปอยู่ไม่น้อย
ถึงขนาดที่ว่าสิ่งที่ลอยเข้าหูของเจียงเห่อเทียนคือคนทั้งโลกล้วนมุ่งมาโจมตีที่บุตรสาวของเขากันทั้งสิ้น
ใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าวนัก กระแสโทสะที่กักเก็บไว้เมื่อครู่เองจะทำอย่างใดก็ระบายไม่ออกเสียแล้ว
หลังเงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“จื่อหยวน พ่อรู้ว่าลูกรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่กว่าเจ้าจะสอบเข้าสำนักหลิงเซียวเข้าไปได้ก็ไม่ง่ายเลย แล้วมันยังเป็นต้นทุนใหญ่ในชีวิตเจ้าอีก หากเจ้าออกจากสำนักตอนนี้แล้วละก็ พวกเขาจะพูดถึงเจ้าอย่างใด? เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่?”
สีหน้าของเจียงจื่อหยวนพลันแข็งค้าง
“ตำแหน่งพระชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์เองก็ตกอยู่ในมือของผู้อื่นไปแล้ว ตอนนี้ข้อได้เปรียบของเจ้าเหลืออยู่ไม่มาก เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
เมื่อเห็นเจียงจื่อหยวนเริ่มตัวสั่นระริกในตอนท้ายที่สุด เจียงเห่อเทียนก็ปรับเสียงของตนให้นุ่มนวลเชื่องช้าลง
“เมื่อครู่เป็นพ่อเองที่ผิด ไม่ควรไปเร่งรัดเอากับเจ้า แต่พ่อเองก็หวังดีกับเจ้าทุกอย่าง เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจที่สุดมิใช่หรือ? เทียบกับการที่เจ้ากลับไปแล้วได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอง แค่ถูกคนลอบนินทาสักประโยคสองประโยคจะนับเป็นอันใดไปได้?”
ประโยคสุดท้ายเปลี่ยนความคิดของเจียงจื่อหยวนไปโดยสิ้นเชิง
นางใช้มือเช็ดน้ำตาของตน นัยน์ตายังคงแฝงไว้ซึ่งแววโกรธขึ้ง
“ท่านพ่อพูดได้ถูกต้อง เป็นลูกเองที่มองโลกแคบไป”
“เจ้าคิดได้ก็เป็นเรื่องดีมากแล้ว”
เจียงเห่อเทียนผ่อนลมหายใจลงได้ในที่สุด แล้วกล่าวต่อว่า
“อีกอย่าง เจ้ากลับไปตอนนี้ก็ยังทันกำหนดไปบุพกาลชายแดนเหนืออยู่”
“บุพกาลชายแดนเหนือหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว สองวันนี้พ่อมัวแต่ยุ่งจัดการอยู่กับเรื่องในจวน จึงมาบอกเจ้าไม่ทัน…”
หลังจากนั้น เจียงเห่อเทียนก็เล่าข้อมูลแลข่าวคราวที่เกี่ยวข้องให้เจียงจื่อหยวนฟังอย่างละเอียด
“… น่าเสียดายที่พวกเราเซียนสุ่ยหลิงไม่ใช่ตระกูลชั้นสูง จึงไร้คุณสมบัติจะได้ล่วงหน้าไปก่อน แต่ตราบที่เจ้ากลับไปยังสำนักหลิงเซียวก็สามารถติดตามเหล่าผู้อาวุโสไปด้วยกันได้!”
ในนัยน์ตาของเจียงเห่อเทียนราวกับแฝงประกายตื่นเต้นสว่างระยับ
“จื่อหยวน นั่นหมายถึง… หนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่เชียวนะ!”
ไม่ว่าผู้ใดที่สามารถครอบครองของเหล่านั้นก็ล้วนได้กำไรทั้งนั้น!
ทันใดนั้นเจียงจื่อหยวนเองก็เกิดความคิดพิเรนทร์หลายอย่างขึ้นมา
หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ผงกศีรษะด้วยตัดสินใจได้ในที่สุด
“ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
…
ณ สำนักหลิงเซียว
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองค่ายกลขนาดเล็กจ้อยอันสุดท้ายถูกแสงสว่างจากค่ายกลอันใหญ่ที่อยู่ด้านบนเข้ากลืนกินทีละน้อยด้วยสายตาเฉยเมย ก่อนจะหยักยกมุมปากวาดรอยยิ้มพึงใจอย่างยิ่งออกมา
ผ่านไปแล้วสิบวัน นางจัดการแก้ค่ายกลอันนี้ไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
อีกอย่างยิ่งใช้เวลาแก้นานเท่าไร การดูดกลืนก็ยิ่งราบรื่นมากขึ้นเท่านั้น
ดูท่าคงใช้เวลาอีกไม่มาก นางก็จะสามารถแก้ค่ายกลได้อย่างเสร็จสมบูรณ์
แม้ว่าการแก้ค่ายกลสำเร็จจะไม่ได้หมายความว่าสามารถใช้งานค่ายกลระดับเดียวกันได้ แต่อย่างใดเสียมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียว
นี่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าผู้ฝึกตนนั้นมีศักยภาพที่เหมาะสม
ก็เหมือนกับตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่เป็นปรมาจารย์ระดับเก้า หลังแก้ค่ายกลอันนี้สำเร็จ ก็จะได้ขยับเข้าไปใกล้การบุกทะลวงสู่ระดับต่อไปขึ้นอีกหน่อย
นางหลับตาลง หวนนึกไปถึงภาพฉากเมื่อครู่ที่วนอยู่ในสมองอย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง หลังจากทวนทุกกระบวนท่าได้แม่นยำไร้ข้อผิดพลาดแล้วก็หยัดกายลุกขึ้น ก่อนสาวเท้าก้าวออกไปด้านนอก
ยามเดินมาถึงประตู นางก็เหลือบมองไปยังด้านข้างด้วยความคุ้นชินแวบหนึ่ง
หรงซิวก็ยังคงไม่กลับมา
ในแววตาของนางปรากฏร่องรอยแคลงใจวาบผ่าน
ก่อนหน้านี้ตู๋กูโม่เป่าบอกไว้ว่าประมาณครึ่งเดือนหรงซิวจึงจะสามารถกลับมาได้
ทว่าตอนนี้เวลาก็ใกล้มาถึงแล้ว ทว่าร่องรอยของหรงซิวกลับค่อยๆ เลือนหายไป
มิรู้ด้วยเหตุใด ในใจของนางถึงรู้สึกกระวนกระวายอยู่หลายส่วน
ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ กลับมลายหายไปเพียงพริบตาโดยที่ฉู่หลิวเยว่มิคิดจะไขว่คว้ามันเอาไว้แม้แต่น้อย
“ฉู่เยว่!”
พวกจัวเซิงทั้งสามมารอนางอยู่ด้านนอกของค่ายกลแล้ว
ฉู่หลิวเยว่พักความคิดของตนเอาไว้ก่อน จากนั้นก็สาวเท้าก้าวออกไปด้านนอก
ยามเห็นท่าทีเตรียมพร้อมออกเดินทางของคนทั้งสามแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะออกมาด้วยอดไม่ได้
“วันนี้ก็แค่จัดการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเท่านั้น เหตุใดพวกเจ้าต้องตื่นเต้นกันปานนี้ด้วยเล่า”
จัวเซิงตอบออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้
“ต้องตื่นเต้นแน่นอนอยู่แล้วสิ! หรือว่าเจ้าไม่กลัวว่าจะโดนคัดออกเลยสักนิดหรือ? หากว่าชวดโอกาสครั้งนี้ไป ครั้งต่อไปอาจมิได้เห็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์อีกเลยตลอดชีวิตนะ!”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ทว่ามิได้เอ่ยออกไปว่าข้อนี้สำหรับนางยังคงมีโอกาสอยู่บ้าง
“รอไปใส่เต็มที่เอาตอนคัดเลือกก็พอแล้ว นี่มีประโยชน์กว่าการที่เจ้าคอยจับหูเกาแก้มด้วยตื่นเต้นแบบนี้เยอะ”
หลัวซือซือและหลัวเยี่ยนหมิงหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ บรรยากาศที่เดิมทีออกจะตึงเครียดอยู่บ้างผ่อนคลายลงไม่น้อย
หลัวซือซือคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยว่า
“ที่ฉู่เยว่พูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นแล้วพวกเราออกเดินทางกันเลยหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า คนทั้งสี่พากันลอยทะยานมุ่งไปยังทิศทางของหอระฆังบูรพกษัตริย์
หลังทะยานมาได้สักระยะหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ก็หันศีรษะกลับไปมองเขาหมื่นเมรัยโดยไม่รู้ตัว
“ฉู่เยว่ เจ้ามองอันใดน่ะ?”
จัวเซิงมองไปตามครรลองสายตาของนางพลางเหยียดมุมปากอย่างอดไม่ได้
“เจ้าคงไม่ได้คิดอยากไปเขาหมื่นเมรัยอีกหรอกใช่หรือไม่?”
เจ้าหนุ่มนี่ไปที่นั่นทีไรไม่เคยมีเรื่องดี ทำเอาพวกเขาในตอนนี้ต่างก็รู้สึกฝังใจไปตามๆ กัน
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าแค่กำลังคิดว่าผ่านมานานเพียงนี้ เหตุใดเขาหมื่นเมรัยจึงยังไม่เปิดอีก…”
“อ๊ะ เจ้าหมายถึงเรื่องนี้น่ะหรือ!”
จัวเซิงเข้าใจโดยพลัน อารมณ์สนใจพลันพวยพุ่งขึ้นมา
“จริงๆ แล้วตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น! ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพูดไว้ว่าจะปิดด่านบำเพ็ญหนึ่งเดือนหรือ? ตอนนี้มาเดี๋ยวเดียวก็จะครึ่งเดือนแล้ว แต่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวอันใดเลย หลายๆ คนก็เลยแวะมาด้วยเพราะสงสัยใคร่รู้กัน…”
“เดิมทีเขาหมื่นเมรัยก็เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในสำนักอยู่แล้ว ครั้งนี้คงผ่านการตัดสินใจของพวกผู้อาวุโสมาแล้วถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้กระมัง?”
หลัวซือซือเอ่ยคาดเดา
“แต่ว่าอย่างใดเสีย ผลที่กระทบต่อพวกเราเองก็ไม่ได้ใหญ่อันใด ไม่เห็นจำเป็นต้องไปใส่ใจมากถึงเพียงนั้น แค่อดทนรอหน่อยก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ไม่แน่ว่าเดี๋ยวเขาก็เปิดในเร็ววันนี้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบาออกมา
“นั่นสินะ”
…
บริเวณใต้หอระฆังบูรพกษัตริย์มีศิษย์มารวมตัวกันอยู่จำนวนไม่น้อยแล้ว คลื่นมนุษย์สีดำแผ่ขยายไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ทันทีที่พวกฉู่หลิวเยว่มาถึง ชั่วพริบตาเสียงของบรรดาฝูงชนก็เงียบซาลงไปมาก
คนจำนวนไม่น้อยต่างส่งสายตามองมาด้วยแววตากระตือรือร้น
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันเต้นกระตุก