ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1299 จงใจ
ตอนที่ 1299 จงใจ
บรรยากาศเช่นนี้… เหตุใดถึงให้ความรู้สึกไม่ถูกต้องขนาดนี้ได้เล่า…
“ฉู่เยว่ เจ้ามาแล้ว!”
แม่นางนางหนึ่งดูแล้วอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าพลันก้าวเท้าเดินออกมาด้านหน้า ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าฉู่หลิวเยว่พลางส่งรอยยิ้มกระจ่างชัด
บนร่างของนางสวมชุดคลุมสีเหลืองสดใส ศีรษะประดับด้วยปิ่นระย้าสีเดียวกัน ดวงหน้ารูปไข่เนียนใสเป็นประกาย เครื่องหน้าหรือก็ประณีตหยดย้อยนัก เป็นผู้ที่เกิดมางามละมุนเหลือหลาย
เพียงการชำเลืองตามองของนางก็เผยแววเฉียบแหลมแผ่ออกมาบางเบา ทำให้คนรู้ได้ทันทีว่านางมิได้ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวดังฉากหน้าที่แสดงออก
หัวคิ้วของฉู่หลิวเยว่มุ่นเข้าหากัน
“เจ้าคือ…”
“ข้าชื่อเลี่ยวสุ่ยชิง! เข้าสำนักมาก่อนเจ้าสามเดือน! เจ้าเรียกข้าว่าชิงชิงก็พอแล้ว!”
แม่นางที่อยู่ด้านหน้าดูจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะสายตาแสดงความไม่คุ้นเคยของฉู่หลิวเยว่เลยแม้แต่น้อย กลับกันนางแนะนำตัวเองด้วยท่าทีใจกว้างยิ่ง ขนาดที่ว่าแฝงไปด้วยความสนิทชิดเชื้ออยู่บางส่วน
หลัวซือซือที่ยืนอยู่ด้านข้างของฉู่หลิวเยว่เห็นดังนี้แล้ว ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกระอาใจเล็กๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ทว่านางมิได้แสดงความรู้สึกเช่นนี้ออกไปทางสีหน้า เกิดมาเป็นแม่นางผู้สูงศักดิ์ในตระกูลเก่าแก่ การฝึกตนเช่นนี้ย่อมต้องมีบ้าง
“ได้ยินว่าครั้งนี้เจ้าเองก็คิดจะไปบุพกาลชายแดนเหนือหรือ? เจ้ามีกลุ่มดีๆ บ้างหรือยังเล่า? เช่นนั้นเจ้าอยู่กลุ่มเดียวกับข้าดีหรือไม่?”
เลี่ยวสุ่ยชิงพูดไปพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ฉู่หลิวเยว่ทีละนิด
กลิ่นหอมจากเครื่องประทินโฉมที่ออกจะฉุนเกินไปลอยเข้าจมูกพอดิบพอดี จนฉู่หลิวเยว่แทบจะสำลักด้วยหายใจไม่ออก
ระยะเวลาหลายวันมานี้ เดี๋ยวก็ต้องไปเก็บสมุนไพรที่หุบเขาวาโยโอสถบ้าง เดี๋ยวก็ต้องไปปรุงยาที่เขาจิ่วเหิงบ้าง นางจึงต้องหมกตัวอยู่ท่ามกลางกลิ่นขมฝาดสมุนไพรในทุกๆ วัน
เมื่อต้องเปลี่ยนมาเจอกลิ่นนี้ปุบปับ เพียงพริบตาก็รู้สึกว่ารับไม่ไหวแล้ว
นางระงับสีหน้าของตน ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาครึ่งก้าวด้วยท่าทีเรียบนิ่ง พลางคลี่ยิ้มบางแล้วเอ่ย
“ความหวังดีของศิษย์พี่หญิงเลี่ยวนั้นข้าเข้าใจดี แต่ข้าได้เลือกสมาชิกในกลุ่มไปเรียบร้อยแล้ว”
พูดไปพลางเอ่ยเน้นย้ำเสียงหนักขึ้นกว่าเดิม
“ซึ่งก็คือสหายทั้งสามท่านนี้ที่มาพร้อมกันกับข้านี่ละ คราแรกข้าคิดว่ามันจะชัดเจนมากแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หญิงเลี่ยวจะมิได้สังเกตน่ะขอรับ”
รอยยิ้มบนดวงหน้าของเลี่ยวสุ่ยชิงพลันเหือดหายไปหลายส่วน
สองแขนของนางกอดอกพลางยักไหล่ แล้วเหลือบมองด้านหลังฉู่หลิวเยว่ไวๆ รอบหนึ่ง
“อ้อ… แบบนี้นี่เอง… ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าจะจับกลุ่มกับศิษย์พี่หรงซิวเสียอีก! เหตุใดหรือ วันนี้… เขาไม่ได้มากับเจ้าหรือ?”
ที่แท้ก็เป็นเพราะมุ่งหวังเรื่องนี้นี่เอง
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย
ไม่ต้องใช้หัวคิดนางก็รู้ว่าตอนนี้มีสายตากี่คู่ที่กำลังจับจ้องนางมาจากรอบทิศ
ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขากำลังรอคอยคำตอบของนางอยู่
“ศิษย์พี่หรงซิวยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมงานครั้งนี้หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ
คนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวต่างก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
บรรยากาศเงียบลงไปได้พักหนึ่ง ก็แว่วเสียงกระซิบขึ้นมา
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย… ข้าบอกแล้วว่าเขาไม่มาหรอก…”
“นั่นซิ! ศิษย์พี่หรงซิวจบจากสำนักไปก็หลายปีแล้ว จะมาร่วมงานคัดเลือกกับพวกเราไปเหตุใดกัน?”
“ต่อให้เขาสนใจของสิ่งนี้เหมือนกัน อาศัยแค่ตำแหน่งโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ไปได้สบายๆ แล้ว…”
“เฮ้อ น่าเสียดายเสียจริง ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าต่อให้ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน แค่ร่วมเดินทางไปด้วยกันก็ดีถมแล้ว… ตอนนี้ดูไปคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ”
…
คนจำนวนหนึ่งเดินคอตกจากไปเงียบๆ
ส่วนคนอีกจำนวนมากก็เบนสายตาของตนกลับไป
เห็นชัดเลยว่าในสายตาของพวกเขา ฉู่หลิวเยว่ที่ไม่มีหรงซิวคอยหนุนหลังก็มิได้มีค่าราคาอันใดสูง
กระทั่งเลี่ยวสุ่ยชิงเองก็ยากจะปิดบังแววตาผิดหวังได้ ทว่าสีหน้าของนางยังถือว่ารักษาได้แนบเนียนอยู่บ้าง นางส่งยิ้มให้ฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจและทำตัวประหนึ่งแม่นางแง่งอนก็มิปาน
“อ๋า ดูเหมือนครานี้จะไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนวิชากับเจ้าแล้ว เช่นนั้น… ครั้งหน้ามาจับกลุ่มด้วยกัน เป็นอย่างใด? ใช่สิ ลืมพูดไปเลย ข้าเองก็เป็นเซียนหมอ ครึ่งปีก่อนเพิ่งบุกทะลวงระดับเก้าไปได้ ได้ยินว่าศิษย์น้องฉู่เยว่เพิ่งจะอายุสิบหกใช่หรือไม่? เทียบกับศิษย์น้องฉู่เยว่แล้ว ข้าก็คงห่างชั้นกับเจ้ามากจริงๆ”
หากเปลี่ยนเป็นหนุ่มน้อยคนอื่นมาปะเข้ากับแม่นางผู้งดงามที่ทั้งกระตือรือร้นและร่าเริงเช่นนี้ โดยปกติแล้วย่อมมิอาจต้านทานได้ไหว
ในเมื่อคนเขาอยากนัดไปเที่ยวกับเจ้า ด้วยเหตุผลหนักแน่นตรงไปตรงมาเช่นนี้ เป็นเจ้าจะมีหน้าไปปฏิเสธได้ลงหรือ?
ในใจหลัวซือซือยิ่งรู้สึกไม่ชอบขี้หน้านางมากขึ้นไปอีก ในอกประหนึ่งว่ามีเพลิงร้อนกำลังแผดเผาโหมกระหน่ำ
นางหันศีรษะไปมองฉู่หลิวเยว่อย่างอดรนทนไม่ไหว
“ฉู่เยว่ พวกเราควรไปกันได้แล้ว”
เลี่ยวสุ่ยชิงปรายตามองนางแวบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบเลี่ยวสุ่ยชิงไปอย่างสงวนท่าที
“ศิษย์พี่หญิงเลี่ยวชมกันเกินไปแล้ว พวกข้ายังมีธุระต้องสะสาง ต้องขอตัวก่อนนะขอรับ”
พูดจบ ก็หันไปผงกศีรษะเบาๆ เชิงให้สัญญาณ ก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปข้างในโดยมิรอให้เลี่ยว
สุ่ยชิงได้พูดอันใดต่อ
พวกหลัวซือซือทั้งสามคนเดินตามหลังนางไปติดๆ
หลังเดินห่างออกมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว จัวเซิงก็เปิดปากถามอย่างอดไม่ได้ว่า
“ซือซือ เหตุใดเจ้าถึงดูโมโหขนาดนั้นเล่า? เลี่ยวสุ่ยชิงผู้นั้นเคยล่วงเกินอันใดเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หลัวซือซือพลันหูแดงก่ำ
“เปล่า ข้าก็แค่รู้สึก… รู้สึกว่า… นางดูเหมือนจะเจาะจงมาเล่นงานเราอยู่หน่อยๆ เห็นกันอยู่ว่าพวกเรามาด้วยกัน นางยังถามคำถามแบบนั้นออกมา ชัดเจนเลยว่านางจงใจ”
จัวเซิงก็ยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ดี
“พวกเราเองก็ไม่ได้เจอคนพรรค์นี้ครั้งแรกเสียหน่อย ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่ได้โต้ตอบพวกเขาไปนี่ เหตุใดมาวันนี้… เฮ้อ ข้าเองก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน!”
หลัวซือซือรีบร้อนเอ่ยว่า
“ตุ๊กตาดินเผายังมีอารมณ์อยู่สามส่วนเลย ข้าแค่คิดว่านางทำแบบนี้มันไม่ดีเฉยๆ เจ้าน่ะคิดมากเกินไปแล้ว”
จัวเซิงยังคงอยากจะเอ่ยอันใดต่อ กลับถูกหลัวเยี่ยนหมิงที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเสียเดี๋ยวนั้น
“ได้ยินว่าจำนวนคนในกลุ่มไม่ได้มีการกำหนดตายตัวเอาไว้ หากว่าลงตัวแล้ว พวกเราก็สามารถเคลื่อนไหวได้เลย แต่ว่าเงื่อนไขข้อแรกคือจะต้องผ่านด่านของวันนี้ไปให้ได้ก่อน”
บรรดาผู้อาวุโสคิดจะจัดการคัดเลือกคนที่อยากไปบุพกาลชายแดนเหนือทั้งหมดภายในวันนี้
ขอเพียงผ่านด่านไปได้ก็จะสามารถติดสอยห้อยตามไปพร้อมกับขบวนใหญ่ของสำนัก
ส่วนคนที่ถูกคัดออกก็ทำได้แค่รั้งรออยู่ที่สำนัก
ถูกหลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยแทรกเช่นนี้แล้ว จัวเซิงเองก็ไม่ได้ถามอันใดต่อตามที่คาดเอาไว้
หลัวซือซือลอบมองฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะรีบชักสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
หลัวเยี่ยนหมิงที่อยู่ด้านข้างมองเห็นทุกอย่างชัดเจน จึงลอบส่ายศีรษะในใจอย่างอดไม่อยู่
ดูเหมือนว่าสิ่งที่พี่สี่คิดไว้ก่อนหน้านี้จะไม่มีผิด ซือซือนางมีใจให้ฉู่หลิวเยว่อยู่บ้างจริงๆ…
ทว่าดูฉู่เยว่ที่เหมือนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว… ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้จริงๆ หรือจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่
หลัวเยี่ยนหมิงครุ่นคิดไปมาอยู่ในใจ รอให้มีเวลาเสียหน่อย จะต้องหาทางไปแยกสืบถามจากพวกเขาทีละคนมาให้ได้
ฉู่หลิวเยว่นั้นเดินอยู่หน้าสุด จึงได้รับการทดสอบคุณสมบัติเป็นคนแรกไป
ผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ในครานี้ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน… ผู้อาวุโสเหวินซีนั่นเอง
ผู้อาวุโสเหวินซีเห็นเขาแล้วก็มิได้ประหลาดใจเช่นเดียวกัน เขาเชิดปลายคางขึ้นพลางกล่าว
“เอาตราหยกดำออกมา”
ฉู่หลิวเยว่ส่งมอบตราหยกให้ด้วยสองมือ
ผู้อาวุโสเหวินซีนำตราหยกสีเขียวของตนออกมาก่อนจะประกบมันเข้าหากัน
ฉู่หลิวเยว่จึงได้เห็นว่าบนตราหยกดำของตนปรากฏลายอักษรขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับระดับความสามารถของนางในตอนนี้
“ซี้ด…”
ผู้อาวุโสเหวินซีสูดลมหายใจเย็นเยียบ จากนั้นก็เงยหน้าขวับขึ้นมามองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เจ้าเด็กนี่ทะลวงมาถึงขั้นพลังปราณระดับนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!?
เหตุใดเขาถึงมิเคยได้ยินข่าวคราวนี้เลยแม้แต่น้อยเล่า!
ลายอักษรเหล่านั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า
“ผู้อาวุโสเหวินซี ข้าถือว่าผ่านเกณฑ์แล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีอยากจะเอาตราหยกเคาะกะโหลกนางสักที
รู้อยู่แล้วยังคิดจะถามอีก!
“ผ่าน!”
หากว่านี่ยังไม่ผ่านแล้วละก็ เช่นนั้นก็คงมีคนติดแหง็กอยู่ในสำนักกันบานเบอะแล้ว!
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่วาดโค้งเป็นรอยยิ้ม
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสเหวินซีมากขอรับ”