ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1300 เรียกตัวฉู่เยว่มา
ตอนที่ 1300 เรียกตัวฉู่เยว่มา
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางบรรดาฝูงชนพลันบังเกิดเสียงความชุลมุนเล็กๆ แว่วมา
ฉู่หลิวเยว่เงยศีรษะขึ้นมองตาม ก่อนจะพบเข้ากับดวงหน้าที่คุ้นเคย
เป็นเจียงจื่อหยวนนั่นเอง
ไม่คิดเลยว่านางจะกลับมาในเวลานี้
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
“จื่อหยวน เจ้ากลับมาแล้ว!”
เหลี่ยงเซียวเซียวที่เดิมทีกำลังคุยอยู่กับผู้คนอย่างออกรสออกชาติ ยามเห็นว่าเจียงจื่อหยวนกลับมาแล้ว ในแววตาพลันปรากฏร่องรอยความประหลาดใจแวบผ่าน จากนั้นนางก็รีบรุดเข้ามาทักทายพลางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พวกเรายังคิดอยู่เลยว่าเจ้าจะไม่มาแล้ว!”
เจียงจื่อหยวนคลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่เห็นฟัน
“ข้าพักอยู่ที่บ้านได้สักระยะแล้ว หากไม่กลับมาเสียทีคงได้ถูกการบ้านทับตายพอดี”
เหลี่ยงเซียวเซียวเอ่ยแกมหัวเราะว่า
“เจ้ากลับมาได้ทันเวลาพอดีเลย! เจ้าเห็นประกาศภารกิจหรือยัง? วันนี้น่ะมีการคัดเลือกคนไปบุพกาลชายแดนเหนือด้วยนะ! หากเจ้ากลับมาช้ากว่านี้สักวันสองวันก็คงตามไม่ทันแล้ว!”
เจียงจื่อหยวนผงกศีรษะรับ
“ข้าได้ยินมาบ้างแล้ว เหมือนว่าจะให้ไปเป็นกลุ่มด้วย? ข้าจำได้ว่าตอนที่มีประกาศภารกิจครั้งก่อน พวกเราก็ร่วมคัดเลือกไปด้วยกัน คาดไม่ถึงเลยว่าครานี้จะต้องไปไกลถึงเพียงนั้น”
รอยยิ้มบนดวงหน้าเหลี่ยงเซียวเซียวพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่แฝงซึ่งความกระอักกระอ่วนไว้หลายส่วน
“เรื่องนี้… จื่อหยวน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่าจะกลับมา ข้าก็เลยจับกลุ่มกับผู้อื่นไปเรียบร้อยแล้ว… หากจะให้เตะคนออกเดี๋ยวนั้นก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
นี่เองทำให้เจียงจื่อหยวนเพิ่งตระหนักได้ถึงอันใดบางอย่าง สีหน้าของนางจึงกลับกลายเป็นแข็งค้างนัก
“แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ ต่อให้พวกเราจะไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน พอถึงเวลาเราก็ได้ไปด้วยกันอยู่ดี!”
เหลี่ยงเซียวเซียวเหลือบมองนางอย่างระแวดระวังแวบหนึ่ง
“จื่อหยวน เจ้าคงไม่โกรธข้าหรอกใช่หรือไม่?”
เจียงจื่อหยวน เอ่ยตอบพลางฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก
“จะโกรธได้อย่างใดกัน? ข้าเองก็รู้ว่าตัวเองกลับมากะทันหัน พวกเจ้าจับกลุ่มกันไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปหาคนมาเพิ่มก็ได้แล้ว”
พูดไปพลาง นางก็หันมองไปรอบๆ ตัว จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
รอบตัวนางยังมีคนอยู่มาก ดังนั้นเจียงจื่อหยวนจึงต้องเก็บงำสีหน้าท่าทางของตนเอาไว้
ทว่าในใจนั้น นางได้บังเกิดความรู้สึกเกลียดชังแลโกรธแค้นเหลี่ยงเซียวเซียวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้สีหน้าจะดูอบอุ่น ทว่าคำพูดกลับปรากฏท่าทีปฏิเสธชัดเจน เหลี่ยงเซียวเซียวกำลังตีตัวออกห่างจากนางอย่างเห็นได้ชัด
เพราะว่าก่อนหน้านี้นางพ่ายแพ้ให้กับหลินจือเฟย แล้วดันหลุดปากพูดออกไปสองสามประโยคนั้นน่ะหรือ?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด นางก็มองออกทั้งหมด
มิตรภาพที่มีร่วมกันมาหลายต่อหลายปีไม่คู่ควรแก่การพูดถึงเลยจริงๆ!
เหลี่ยงเซียวเซียวมองตามแผ่นหลังของนางไป สองมือกอดอกแน่น ดวงหน้างามพริ้งพลันปรากฏรอยยิ้ม
“เซียวเซียว ความจริงแล้วจำนวนคนของแต่ละกลุ่มเองก็ไม่ได้กำหนดตายตัว ต่อให้มีนางเพิ่มมาอีกคนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดเจ้าถึง…”
แม่นางที่อยู่ด้านข้างนางหนึ่งขยับเข้ามาใกล้อย่างทนไม่ไหวพลางกระซิบเสียงเบา
เหลี่ยงเซียวเซียวเลิกคิ้ว ก่อนจะปรายตามองหน้านาง
“เช่นนั้นให้เจ้าไปสลับกับนางดีหรือไม่? ขอแค่เจ้ายอม พวกข้าอย่างใดก็ได้หมดนั่นแหละ”
“ไม่ ไม่ เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ!”
แม่นางนางนั้นย่นคอกลับไป ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธอย่างรีบร้อน
เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า
“จริงๆ แล้วเซียวเซียวน่ะทำเพราะหวังดีกับพวกเราทุกคนนะ จื่อหยวนนาง… เรื่องอื่นจริงๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่พักหลังมานี้ดูจะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยนัก หากถึงเวลาแล้วนางดันเคลิ้มเหม่อใจลอย เกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างใด? พวกเราน่ะรับภาระไม่ไหวหรอก”
แท้จริงแล้วคำพูดนี้เรียกได้ว่าฟังดูดีอยู่บ้าง
อาการที่ย่ำแย่ของเจียงจื่อหยวนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะออกจากสำนักไปเสียอีก
ตอนนี้ยังหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอยู่ พูดให้ชัดก็คือหาเหตุผลส่งๆ ไปเท่านั้นเอง
ความจริงแล้ว เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ภาพลักษณ์ของเจียงจื่อหยวนในสำนักจึงเรียกได้ว่าดิ่งลงเหว ใครๆ ต่างก็คิดว่านางเป็นพวกตีสองหน้า จึงมิยินยอมให้นางอยู่ร่วมด้วยอีก
อีกอย่าง ดูจากการแสดงออกของนางแล้ว ไม่แน่ว่าอาจไปล่วงเกินหรงซิวเข้าแล้วก็เป็นได้
ไม่ว่าใครก็ไม่อยากรับความเสี่ยงข้อนี้ทั้งนั้น ข้อที่ว่ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหรงซิว
แม้เจียงจื่อหยวนจะโดดเด่นเป็นที่จับตา ทว่าแม่นางเช่นนี้ในสำนักเองก็ไม่ได้มีนางแค่คนเดียว
ชาติตระกูลดี รูปลักษณ์งาม แม่นางสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่พรสวรรค์เปี่ยมล้น ในสำนักเองก็มีถมไป ไม่จำเป็นต้องไปคอยตามยกย่องนางเลยจริงๆ
เหลี่ยงเซียวเซียวเอาปอยผมที่ปรกหน้าทัดไว้หลังหู ก่อนจะหมุนกายเดินนำไป
“แต่ละคนล้วนมีชะตากรรมของตน พวกเราเองก็รีบไปจัดการธุระของตัวเองกันดีกว่า”
…
หลังจากนั้นเจียงจื่อหยวนก็จัดการหาคนมาเข้าร่วมกลุ่ม ทว่าทุกคนต่างก็ล้วนปฏิเสธนางด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไปโดยไม่มีข้อยกเว้น
รอยยิ้มบนดวงหน้าของนางยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ความกราดเกรี้ยวในใจเองก็ยิ่งลุกโหมอย่างรุนแรง
เกิดเรื่องแบบนี้นานเท่าไรแล้ว!?
นางจากสำนักไปในเวลาที่สั้นกระชั้นเพียงเท่านี้ มิคิดเลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้ขนาดนี้!
เมื่อก่อนคนพวกนี้ยังคอยตามยกย่องนางอยู่นั่น พอมาตอนนี้กลับเอาแต่หลบเลี่ยงประหนึ่งว่านางเป็นแมงป่องพิษอย่างใดอย่างนั้น!
กระทั่งคนที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีด้วยมากที่สุด ตอนนี้ก็ยังกำจัดนางออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเล!
หลังจากถูกปฏิเสธไปอีกครั้ง เจียงจื่อหยวนก็กำหมัดแน่นพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน บนดวงหน้ารู้สึกแสบร้อนประหนึ่งถูกคนตบเข้าที่แก้มเต็มแรงก็มิปาน!
ตั้งแต่ที่นางเข้าสำนักหลิงเซียวมา ก็ไม่เคยได้รับการผลักไสไล่ส่งเช่นนี้มาก่อน!
สถานการณ์เช่นนี้บัดซบยิ่งกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้แต่แรกมากนัก!
ทำเอานางรู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น!
…
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจียงจื่อหยวนเองจะมีวันนี้ได้”
จัวเซิงแบะปากออกมา
“พอคิดไปถึงตอนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ตอนนั้นนางค่อนข้างมีอิทธิพลในสำนักเลยทีเดียว”
“ก็ต้องโทษที่นางทำผิดเอง”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยด้วยเสียงเฉยเมย
ฉู่หลิวเยว่มองดูอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมา
เจียงจื่อหยวนข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว
คนแบบนี้น่ะไม่คู่ควรให้เป็นกังวลด้วยจริงๆ
…
ณ เขาหมื่นเมรัย
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและผู้อาวุโสโอวหยางกำลังยืนอยู่บนยอดเขาสูงพลางปรายตามองมายังตาน้ำด้วยหัวคิ้วขมวดแน่น
“สรุปแล้วนี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสโอวหยางจึงได้เปิดปากเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“นี่ก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ตาน้ำนี่ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเลย”
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งเดือน พวกเขาก็จัดการฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างในเขาหมื่นเมรัยให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
ทว่าเป็นเพราะพวกเขามักจะแวะเวียนมาตอนกลางคืน ดังนั้นเมื่อมาถึงในช่วงกลางวันของวันสุดท้ายจึงเพิ่งพบว่าบริเวณตาน้ำพุนั้นเกิดปัญหา
…ไม่มีน้ำพุไหลพวยพุ่งออกมาจากตาน้ำอีก
ก่อนหน้านี้ในทุกๆ วัน น้ำพุก็จะพากันหลั่งไหลออกมาจากตรงกลางไม่หยุดหย่อนแล้วไหลเอื่อยตามกระแสธาราลงไป
ทว่ามาตอนนี้ มันกลับหยุดเสียแล้ว!
ทุกวันพวกเขาจะแวะเวียนมาดูมันกันทั้งนั้น ทว่าผลลัพธ์ที่ได้มาในทุกวันเองก็ล้วนเหมือนกันหมด!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยกเท้ารุดหน้าก้าวลงเขา
“ไปเรียกตัวฉู่เยว่มา!”