ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1302 เมาแล้ว
ตอนที่ 1302 เมาแล้ว
“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลาขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่โค้งคำนับด้วยความเคารพ และกล่าวคำอำลา
และเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ครั้นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มหายไปจากครรลองสายตา เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามก็หันมามองหน้ากันอย่างอิหลักอิเหลื่อ
“ปั๋วเหยี่ยน ข้าว่าเจ้าทำเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมเท่าใดกระมัง”
ซั่งอวี้เซินแตะปลายคางของตนราวเพ่งพินิจ
“หากกลับไปแล้วเด็กนั่นเกิดหวาดระแวงคิดไม่ตกจักทำอย่างใดหา?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ
“เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”
“แต่เจ้าก็ไม่ควรตัดสินเขาหากยังไม่รู้ชัด”
ซั่งอวี้เซินหน้าบึ้งตึงมากขึ้นกว่าเดิม
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนแอบสะดุ้ง แล้วส่ายหัวพัลวัน
“เรื่องนี้ข้าผิดเอง”
“อันที่จริงจะโทษปั๋วเหยี่ยนคนเดียวเสียหมดก็มิได้ อวี้เซิน เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตาน้ำพุนั่นไร้การเคลื่อนไหวมาพักหนึ่งแล้ว ปั๋วเหยี่ยนกับข้าสังเกตท่าทีของมันอยู่นาน ถึงได้ตัดสินใจเรียกพบฉู่เยว่เช่นนั้น แต่ใครจะรู้ว่าพอเขามาถึง มันกลับ…”
ผู้อาวุโสโอวหยางหน้านิ่วคิ้วขมวด ราวหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
“ไม่แน่ว่า มันอาจจะเป็นผลกะทบจากตอนที่ฉู่เยว่หลอมวิญญาณให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ได้? ทว่ายามนี้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าก็เลิกกังวลได้แล้ว”
แม้ซั่งอวี้เซินจะไม่ได้กลับมาที่นี่พักหนึ่ง แต่เขาก็เชื่อว่าโอวหยางพูดความจริง
และพอมาคิดๆ ดูแล้ว ก็เป็นพวกเขาเองที่คิดมากไปจนถึงขั้นวิตกจริต
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลูบเคราของตนไปมา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
“ถ้าก่อนหน้านี้เด็กนั่นมิได้ก่อนเรื่อง ข้าคงไม่…”
ซั่งอวี้เซินสะอึกเบาๆ แต่ก็เข้าใจเหตุผลของเขา
“อย่างใดเสีย ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีก แต่ถ้ายังเป็นห่วง อีกสองสามวันก็ค่อยขึ้นดูใหม่แล้วกัน”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพยักหน้ารับคำ
“เช่นนั้นก็รอจนกว่าเราจะไปบุพกาลชายแดนเหนือ!”
“เจ้าเองก็ไปด้วยหรือ?”
ซั่งอวี้เซินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เจ้ามิได้อยู่เฝ้าสำนักหรอกหรือ?”
ในระหว่างที่เจ้าสำนักออกบำเพ็ญเพียร ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนได้รับหน้าที่ให้รักษาการแทนเขา และดูแลรับผิดชอบทุกเรื่องในสำนักวิชามาโดยตลอด
ถึงจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาก็จะส่งผู้อาวุโสคนอื่นๆ ออกไปแทน
ทว่าคราวนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับขอนำทุกคนออกไปด้วยตัวเอง ซึ่งน่าประหลาดใจโดยแท้
“เดิมพันนี้สูงนัก ทุกคนต่างพร้อมแก่งแย่งชิงดี ข้าไปด้วยจะปลอดภัยกว่า และอีกอย่าง…”
เรียวคิ้วของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน เริ่มขมวดขดเข้าหากันทีละน้อย
“การไปที่นั่นในครานี้ อาจทำให้เราได้เบาะแสของเจ้าสำนักก็ได้…”
…
ฉู่หลิวเยว่กลับไปยังจัตุรัสชิงหมิงอีกครั้ง
ทุกคนล้วนหันมามองนางด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้
ทว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงสงวนท่าทางสงบนิ่ง และเมินเฉยต่อสายตาเหล่านั้น สองขาก้าวเท้ากลับไปหาพวกหลัวซือซือ และจากนั้นนางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติของคนทั้งสาม
“เกิดอันใดขึ้น?”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างแปลกใจ
จัวเซิงถอนหายใจพรืดใหญ่
“ข้าไม่ได้รับเลือก”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยต่อ
“ข้าเองก็ไม่”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจอย่างมาก
“… แล้วซือซือล่ะ?”
หลัวซือซือเม้มริมฝีปากอย่างลังเล
“ข้าได้รับเลือก แต่ว่า…”
เมื่อต้องเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้ นางกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด
เดิมทีพวกเขาคุยกันไว้แล้วว่าเราสี่คนจะไปด้วยกัน แต่ตอนนี้มันกลับผิดคาดเสียอย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่พลันเข้าใจในทันที
ไม่แปลกเลยที่บรรยากาศรอบตัวพวกเขาสามคนจักหม่นหมองเช่นนี้
“เห้อ! อันที่จริงก็ไม่เป็นไรหรอก! ก่อนหน้านี้ข้าอาจหลงระเริงมากไปหน่อย สำนักแห่งนี้มีคนที่โดดเด่นเยอะแยะจะตาย ไม่ถูกเลือกย่อมมิเห็นแปลก!”
จัวเซิงเป็นคนแรกที่รีบเปลี่ยนบรรยากาศและให้กำลังใจพวกเขา
ก่อนจะหันมองฉู่เยว่แล้วทำทียกยิ้มมุมปาก
“ฉู่เยว่ เจ้าไปแล้วก็แสดงฝีมือให้เต็มที่! เอาให้สมกับเป็นน้องน้อยของพวกข้า! กลับมาแล้วข้าจะเกาะกระแสเจ้าเชิดหน้าชูตาเสียเลย!”
เขาเสียใจที่ไม่ถูกเลือกก็จริง แต่ในเมื่อผลออกมาแล้ว จะจมปักทำตัวห่อเหี่ยวก็ไม่มีประโยชน์
ถึงจัวเซิงจะดูเป็นคนเรื่อยเฉื่อย ไม่ยี่หระ แต่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาเป็นคนใจกว้าง!
หากเผชิญกับเรื่องทุกข์ยาก เขาก็จะปรับทุกข์ด้วยสุรา และมิได้เก็บมาใส่ใจอีก
ซึ่งคนประเภทนี้จะใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ไร้ซึ่งความคับแค้นใจ
หลัวเยี่ยนหมิงถอนหายใจ เขายังคงอารมณ์เสียอยู่เล็กน้อย แต่มันมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่า จนเขาต้องดึงสติกลับมาใส่ใจ
“ฉู่เยว่ จากนี้ข้าต้องวานเจ้าช่วยดูแลซือซือด้วย เมื่อก่อนนางมิค่อยได้เดินทางไกลเช่นนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่นางไม่รู้ ข้าต้องขอรบกวนเจ้า…”
“ได้อยู่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแทรกเขาด้วยรอยยิ้ม พร้อมพูดอย่างจริงจังว่า
“ซือซือเป็นสหายของข้า ข้าต้องปกป้องนางอยู่แล้ว”
พอได้ยินเช่นนั้น หลัวเยี่ยนหมิงก็รู้สึกโล่งใจ
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
ทว่าขณะเดียวกัน ก็มีใครบางคนเดินเลียบเข้ามายืนข้างเขา
“พี่สี่?”
หลัวซือซือและอีกสามคนที่เหลือต่างประหลาดใจเมื่อเห็นหลัวเยี่ยนหลิน โดยเฉพาะหลัวซือซือที่พุ่งเข้าไปคว้าแขนของผู้เป็นพี่เอาไว้เสียแน่น และถามว่า “พี่สี่ ท่านเองก็ไปด้วยหรือเจ้าคะ?”
นางไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย!
หลัวเยี่ยนหลินหัวเราะเบาๆ
“ข้าสิควรถามพวกเจ้า เพิ่งเข้ามาเพียงไม่กี่เดือนมิใช่หรือ? กลับกล้ากระทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้แล้ว ข้านัดกับกลุ่มเพื่อนไว้แล้วว่าจะไปด้วยกัน ซือซือ ถึงตอนนั้นเจ้ากับฉู่เยว่จะมารวมกลุ่มกับพวกข้าสิ”
หลัวซือซือเหลือบมองฉู่หลิวเยว่ราวขอความคิดเห็น
หลัวเยี่ยนหลินเองก็หันไปมองราวแอบไม่พอใจ
“ขอบคุณมากขอรับ ศิษย์พี่หลัว”
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้มแล้วประสานหมัดขอบคุณเขา
เดิมทีหลัวเยี่ยนหลินไม่อยากต่อบทสนทนากับอีกฝ่ายมากนัก แต่เพราะเห็นแก่หน้าน้องสาว จึงต้องพูดว่า
“ทางสำนักวิชาจะออกเดินทางวันพรุ่ง วันนี้พวกเจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเสียเถอะ”
“ขอรับ”
…
ฉู่หลิวเยว่มุ่งหน้ากลับไปยังภูเขาจิ่วเหิง
เมื่อเข้าไปในห้องและล็อคประตูหน้าต่างหมดแล้ว นางถึงได้วางมือบนอก และถอนหายใจออกยาวๆ
โชคดีจริงๆ เกือบโดนจับได้แล้วสิ
หากวันนี้นางเผลอหลุดประพฤติน่าสงสัยออกมา คงได้จบเห่เป็นแน่
“เจ้ายังรู้จักกลัวด้วยหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงของตู๋กูโม่เป่าก็ดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสุดขีด ครั้นเห็นตู๋กูโมเป่าที่เขามารอนางอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
ความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าฉู่หลิวเยว่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แค่การซ่อนร่องรอยและลมปราณต่อหน้านางนั้น มิใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญแต่อย่างใด
“พี่เป่า เจ้าทำข้าตกใจหมดเลย!”
ฉู่หลิวเยว่หลับตาและพยายามควบคุมจังหวะหัวใจให้สงบลง
แต่จู่ๆ นางก็จำต้องชะงัก แล้วตวัดตามองฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย
“… นี่เจ้า… รู้แล้วหรือ?”
ตู๋กูโม่เป่ามิได้ตอบกลับ และทำเพียงยกมือขึ้นแล้วโยนมันให้นาง
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือไปคว้ามันไว้ตามสัญชาตญาณ
แปะ!
เจ้าสิ่งนั้นทั้งนุ่มและเปียกแฉะ
ฉู่หลิวเยว่ก้มลงไปมองใกล้ๆ พลันหางตากระตุกอย่างแรง
“ถวนจื่อ!?”
ก้อนขนสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือแบบนี้ จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่ถวนจื่อ!?
แต่เหมือนว่ายามนี้มันกำลังหลับลึก หัวของมันฝังจุ่มลงใต้ปีกข้างหนึ่ง และแม้ว่าตู๋กูโม่เปาจะจับมันแกว่งไปรอบๆ แต่ก็ดูท่าจะไม่ตื่นง่ายๆ
ตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ ขนนุ่มปุยที่แต่เดิมเคยฟูฟ่อง ยามนี้กลับแนบเรียบไปตามลำตัวราวกับ…
คนหัวล้าน
แต่คำว่า “น่าเกลียด” น่าจะฟังดูได้อรรถรสกว่า
นอกจากทัณฑ์สวรรค์สีเงินที่ส่องประกายไปทั่วตัวของมันเป็นครั้งคราวแล้ว ก็เหมือนจะยังมีจุดอื่นที่ดูผิดปกติอยู่อีก จนฉู่หลิวเยว่ไม่อยากยอมรับเลยว่ามันคือสัตว์อสูรในพันธะของตน
“มันแช่อยู่ในตาน้ำพุนานเกินไปจนเมา”
ตู๋กูโม่เป่าพูดอย่างเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่ “…”
“ปกติแล้วไม่มีใครเมาเพราะดื่มน้ำพุหรอก แต่อสูรตัวนี้ดื่มมากเกินไป เลยเมาหมดรูปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง… พลังของทัณฑ์สวรรค์มากมายที่มันกินเข้าไปอีก”
ตู๋กูโม่เป่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันกลืนกินพลังของทัณฑ์สวรรค์ ที่สั่งสมอยู่ในตาน้ำพุมานานหลายปีไปมากเพียงใด? ถ้าข้าไม่จับมันออกมา ก็ไม่รู้ว่ามันจะหลับเป็นตายอยู่ที่นั่นไปอีกนานเท่าไร”