ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1304 สัญญาณของการทะลวง
ตอนที่ 1304 สัญญาณของการทะลวง
หนึ่งคืนผ่านไป
แสงแดดยามเช้าส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาหลบแสงอัสดงที่ส่องเข้ามา แล้วเอนกายไปด้านหลังอย่างเหนื่อยล้า
“เหอะ… พี่เป่านี่ใจแข็งจริงๆ…”
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่มีโครงสร้างยุ่งยากที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาเลย และยากกว่าค่ายกลอันก่อนที่ตู๋กูโม่เป่าเคยทิ้งไว้ให้นางตั้งหลายเท่า
จนถึงตอนนี้นางก็ยังแก้ค่ายกลอันก่อนไม่ได้ แล้วนับประสาอันใดกับค่ายกลอันนี้
ฉู่หลิวเยว่ขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด
นางใช้เวลาศึกษามันทั้งคืน แต่กลับไม่คืบหน้าเลยสักนิด
และแอบคิดแล้วว่าวันนี้นางคงออกไปไม่ได้แน่ๆ
แต่จู่ๆ กลับเกิดคลื่นความผันผวนขึ้นในจุดตันเถียน
ฉู่หลิวเยว่นึกคิดอยากปลุกถวนจื่อเสียให้รู้แล้วรู้รอด
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่เองก็มาจากมัน
เมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้ว ทัณฑ์สวรรค์มากมายที่ปรากฏบนร่างของมันลดลงไปมาก คงเป็นเพราะถูกถวนจื่อดูดกลืนไปเสียส่วนใหญ่แล้ว
แต่ตาของมันยังปิดสนิท และไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ
ฉู่หลิวเยว่อุ้มมันขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ตัวมันอย่างระมัดระวัง
เมื่อวานนี้ถวนจื่อเปียกโชกไปทั้งตัว นางจึงดูไม่ค่อยออกว่ามันเปลี่ยนไปเช่นไร ทว่าตอนนี้นางมองเห็นแล้วว่าสีขนของถวน
จื่อเข้มขึ้นกว่าเดิมมาก
ครั้นมองแวบแรก จักดูเหมือนเปลวเพลิงสีชาดที่กำลังลุกไหม้ด้วยความร้อนแรง
ฉู่หลิวเยว่จำได้ว่าครั้งก่อนที่มันแช่ตัวอยู่ในตาน้ำพุแค่เพียงช่วงสั้นๆ มันยังหลับไปนานพักใหญ่ และคราวนี้นางไม่รู้เลยว่ามันตื่นขึ้นมาเมื่อใด
แต่เมื่อตื่นขึ้นครานี้ มันก็น่าจะ… ใช้งานพลังแห่งสายเลือดได้อย่างเต็มที่แล้วกระมัง?
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็พลอยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“ฉู่เยว่! ฉู่เยว่?”
เสียงของหลัวซือซือดังขึ้นจากด้านนอก
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจแล้วผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก่อนจะจัดแจงภาพลักษณ์ของตนแล้วเดินออกไปข้างนอก
นางเห็นร่างเงาของหลัวซือซือที่ยืนเคว้งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
“ฉู่เยว่ พวกเราต้องไปกันแล้ว ยามนี้ผู้คนมากมายล้วนไปรวมตัวกันที่จัตุรัสชิงหมิงแล้ว”
หลัวซือซือกล่าว พลางโบกมือเรียกฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และหยุดยืนอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
“ซือซือ เจ้าช่วยลาท่านผู้อาวุโสให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เกรงว่าจะร่วมเดินทางไปกับเจ้าไม่ได้”
หลัวซือซือผงะระคนตกใจ
“เจ้าป่วยหรือ? แล้วร้ายแรงหรือไม่? ให้ข้าตามผู้อาวุโสมาดูอาการเจ้าดีหรือไม่!”
ฉู่หลิวเยว่รีบเอ่ยแทรกทันควัน
“ไม่เป็นไร ก็แค่โรคประจำตัว ข้าทานยาไปแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยก็ดีขึ้น หากแต่สภาพเช่นนี้… คงไปบุกน้ำลุยไฟกับพวกเจ้าที่บุพกาลชายแดนเหนือไม่ได้ ข้าต้องขอโทษจริงๆ”
เมื่อหลัวซือซือเห็นใบหน้าอันซีดเซียวของฉู่หลิวเยว่ ในใจก็พลันเป็นกังวลยิ่ง แต่พอเห็นเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของอีกฝ่าย นางจึงเข้าใจและตอบรับคำขอของเขาแต่โดยดี
“เช่นนั้นข้าจะแจ้งผู้อาวุโสให้ เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วย หากทนไม่ไหว เจ้าต้องไปหาผู้อาวุโส”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มรับอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบใจเจ้ามาก”
…
ข่าวการป่วยของฉู่หลิวเยว่แพร่กระจายออกไป และการถอนตัวออกจากกลุ่มกะทันหันเช่นนี้ ล้วนทำให้หลายคนรู้สึกประหลาดใจ
อย่างใดเสียนี่ก็ถือเป็นโอกาสทองที่หาได้ยาก หากยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้น คงน่าเสียดายแย่
แม้แต่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ยังแปลกใจ และถามไถ่เกี่ยวกับอาหารของฉู่หลิวเยว่เพิ่มอีกเล็กน้อย
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเป็นห่วงศิษย์ของตนมาก จนต้องบึ่งไปที่ภูเขาจิ่วเหิงเพียงลำพัง
ส่วนฉู่หลิวเยว่ก็ทำได้เพียงโผล่หน้าออกมาอธิบายอีกครั้ง และพยายามโน้มน้าวเขาต่างๆ นาๆ ผู้อาวุโสวั่นเจิงถึงยอมเชื่อว่านางไม่ได้เป็นอันใดร้ายแรงจริงๆ
และเพราะผู้อาวุโสวั่นเจิงต้องเดินทางไปยังบุพกาลชายแดนเหนือในครั้งนี้ร่วมกับคนอื่นๆ หลังจากแน่ใจว่าแล้วว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ป่วยหนัก เขาถึงยอมกลับไป
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้อยู่อย่างสงบ
ถึงนางจะค่อนข้างเป็นกังวล แต่เพราะหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ของจริงอยู่กับนาง ทำให้อีกใจหนึ่งของฉู่หลิวเยว่ก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
นางเริ่มตั้งสมาธิแล้วแก้ปมค่ายกลตรงหน้าอีกครั้ง
…
คราวนี้สำนักหลิงเซียวเกณฑ์คนของตนไปเยอะมาก โดยรวมทั้งสิ้นแล้วมีผู้อาวุโสมากกว่าสามสิบคน และลูกศิษย์อีกมากกว่าสามร้อยคน คนทั้งหมดล้วนมุ่งหน้าไปยังบุพกาลชายแดนเหนือ
ครั้นคนเหล่านี้ออกจากสำนักไปแล้ว ทั่วทั้งสำนักวิชาพลันเงียบเสียงลงในทันตา แต่บรรยากาศในการฝึกฝนกลับหนักหน่วงและดุดันกว่าเดิม
เนื่องจากศิษย์หลายคนที่ไม่ได้รับเลือกในครั้งนี้ ต่างก็แอบมาฝึกฝนเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และจะได้ไม่ให้พลาดโอกาสเช่นนี้อีกในอนาคต
อย่างใดเสีย ความแข็งแกร่งก็คือตัวชี้วัดศักยภาพที่ทรงพลังที่สุด!
จากนั้น กิจวัตรทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ
…
แต่ไม่ใช่กับฉู่หลิวเยว่
นางมีทัศนคติที่ดีมาก และรู้ว่าที่ตู๋กูโม่เป่าทำไปทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้นาง ดังนั้นนางจึงยอมอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นั้นโดยไร้ซึ่งการตำหนิติเตียน พลางจดจ่ออยู่กับค่ายกลและศึกษามันทีละน้อย
เมื่อรู้สึกเหนื่อย บางครั้งนางก็เปลี่ยนไปอ่านตำราปรมาจารย์โอสถเล่มนั้น ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงทิ้งไว้ให้
สามวันต่อมา ราวกับกลัวว่านางจะเบื่อ จู่ๆ ตู๋กูโม่เป่าก็ส่งหุ่นเชิดตัวหนึ่งมาอยู่ “เป็นเพื่อน” นาง
คือ ระดับเก้าขั้นต้น
…
แต่พอเห็นว่าสุดท้ายแล้วฉู่หลิวเยว่สามารถประมือกับหุ่นเชิดตัวนี้ ตู๋กูโม่เป่าก็ส่งมาเพิ่มอีกตัว
ภายในห้องนั้น ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งกอดอกไว้ พลางยกมืออีกข้างขึ้นลูบปลายคางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นางมองไปยังค่ายกลบนพื้นและหุ่นเชิดสองตัวที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของตน ที่พร้อมจะเข้ามาต่อสู้กับนางได้ตลอดเวลา แล้วจมดิ่งลงไปในห้วงความคิด
…ในอดีตนางเคยทำให้พี่เป่าโกรธเคืองเช่นนี้หรือไม่นะ?
ห้าวันต่อมา
ฉู่หลิวเยว่ขจัดข้อสงสัยนี้ออกไป
เพราะถึงแม้นางจะแก้ค่ายกลที่พี่เป่าใช้ขังนางไม่ได้ แต่ระหว่างที่นางศึกษามัน นางก็แก้โครงสร้างของค่ายกลอันก่อนได้สำเร็จ
เหนือปรมาจารย์ระดับเก้า ก็คือปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา!
นางแอบสังหรณ์บางอย่างในใจ
ไม่แน่ว่าบางที ก่อนที่นางจะทะลวงขึ้นสู่ปรมาจารย์โอสถกับผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพได้ นางอาจจะต้องทะลวงไปสู่ระดับที่สูงกว่าปรมาจารย์ทั่วไปให้ได้เสียก่อน!
ในยามนี้ถวนจื่อยังคงหลับสนิท ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ชัดเจนว่าตอนนี้ในตัวของมัน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอันเงียบสงัด ราวกับฝนตกในฤดูใบไม้ผลิที่จู่ๆ ก็ตกลงมาท่ามกลางความเงียบ
แต่ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าวันใดวันหนึ่ง เจ้าสิ่งนี้จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกตะลึงพึงเพลิดแน่นอน!