ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1305 ลองดู
ตอนที่ 1305 ลองดู
บุพกาลชายแดนเหนือนั้นถือเป็นสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่
ด้วยสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและภยันตรายมากมาย ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ที่สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน
ทว่าเมื่อมีข่าวลือว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวที่นั่น ทุกสำนักวิชาชั้นนำในอาณาจักรเสิ่นซวี่ จึงส่งคนของตนไปที่นั่นกันทั้งสิ้น
บังเกิดสงครามแก่งแย่งชิงสมบัติอันดุเดือด!
…
เมื่อเทียบกับสำนักวิชาชั้นนำอื่นๆ แล้ว ถึงสำนักหลิงเซียวจะไม่ค่อยมีพวกที่หลงไหลในวัตถุนิยมขึ้นสมอง ที่ถึงขั้นยอมรุดหน้าไปเปิดประเดิมภูมิรกร้างแห่งนั้นก่อนสำนักอื่น แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง
…สำนักหลิงเซียวได้ครอบครองค่ายกลหนึ่งเดียวในอาณาจักรเส่นซวี่ ที่สามารถใช้เป็นประตูทะลุไปยังบุพกาลชายแดนเหนือได้โดยตรง!
ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายหมื่นปี โดยเจ้าสำนักคนแรกของสำนักหลิงเซียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป บุพกาลชายแดนเหนือก็อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทางสำนักหลิงเซียวจึงหยุดส่งคนไปที่นั่น แม้แต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเองก็ถูกปิดใช้การไปพักใหญ่
และคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากมันอีก
ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ ประดับไปด้วยโคมไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ มันทั้งสว่างและกว้างขวางกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายเครื่องอื่นมาก
การเคลื่อนที่ของมันเสถียรเสียจนคนที่อยู่ข้างใน แทบจะไม่รู้สึกถึงความปั่นป่วนของมวลสารโดยรอบ
ผู้อาวุโสทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ประกบด้านหน้าและด้านหลังขบวน เพื่อปกป้องคุ้มครองลูกศิษย์ให้ปลอดภัยที่สุด
ตอนแรกทุกคนต่างประหม่าและกังวลเล็กน้อย ทุกสิ่งอย่างล้วนตกอยู่ในความเงียบ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมาทีละนิด บรรยากาศในค่ายกลเริ่มมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อครู่
และบางครั้งก็มีเสียงกระซิบกระซาบกันดังขึ้นมาเป็นระลอก
“ค่ายกลนี้เสถียรมาก… ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ทรงพลังขนาดนี้มาก่อนเลย…”
“ได้ยินว่าเจ้าสำนักคนแรกเป็นคนสร้างมันขึ้นมา และหลายหมื่นปีที่ผ่านมาก็จะมีผู้อาวุโสคอยดูแลรักษามันไว้อย่างดี มันต้องพิเศษมากแน่ๆ!”
“ฟู่ว…คงใช้กำลังคนและทรัพยากรไปมาก คิดแล้วช่างน่าทึ่งจริงๆ! ได้ยินว่าทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่ มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเพียงเครื่องเดียว ที่สามารถพาคนทะลุไปยังบุพกาลชายแดนเหนือได้โดยตรง หากใครอื่นต้องการไปที่นี่ พวกเขาจะต้องเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลายครั้ง และสุดท้ายก็ต้องข้ามร่องเขาหงไปอีก ถึงจะเข้าสู่เขตของบุพกาลชายแดนเหนือได้จริงๆ… และเห็นเขาลือว่าที่นั่นเปรียบเสมือนหลุมศพของเหล่าผู้ฝึกตนด้วย!”
“หากข้าได้เห็นหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์กับตาสักครั้ง ข้าก็เต็มใจน้อมรับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดเจียนตายแค่ไหนก็ตาม! เพราะนั่นมัน… เป็นถึงหนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ”
“สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบชิ้นต่างกระจัดกระจายกันไปคนละทิศทาง จนถึงตอนนี้มีเพียงห้าชิ้นเท่านั้นที่ปรากฏออกมาแน่ชัดและพวกมันล้วนเป็นสมบัติตกทอดกันในสำนักวิชาอันดับต้นๆ มาเนิ่นนานหลายพันปี ส่วนอีกห้าชิ้นที่เหลือกลับไร้ซึ่งร่องรอย ตลอดพันปีมานี้ มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์เพียงชิ้นเดียวที่ปรากฏขึ้นบนโลก”
“และที่สำคัญที่สุดก็คือ มันยังไม่มีเจ้าของ! ไอหยา ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายใครจักเป็นผู้ชนะและได้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นี้ไป?”
…
“ซือซือ? ซือซือ?”
หลัวเยี่ยนหลินตะโกนเรียกนางสองครั้ง หลัวซือซือถึงได้สติขึ้นมา
“หือ? พี่สี่ มีอันใดหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าคิดอันใดถึงใจลอยเพียงนี้” หลัวเยี่ยนหลินยิ้มบาง พลางเอ่ยถาม “หรือเจ้ากังวลเรื่องบุพกาลทางเหนือหรือ?”
หลัวซือซือเม้มปากพลันส่ายหัว
“มิใช่เจ้าค่ะ”
หลัวเยี่ยนหลินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เป็นห่วงฉู่เยว่หรือ?”
ใบหน้าของหลัวซือซือพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก และรีบตอบกลับจนลิ้นพัน
“พูดอันใดของท่านกันเล่าพี่สี่ ข้ามิได้…”
ทว่าเมื่อสบเข้ากับแววตาอันคมกริบเสมือนมองผ่านทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งของหลัวเยี่ยนหลิน หลัวซือซือก็จำต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปด้วยความละอาย
ก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆ ว่า
“ข้า… ข้าแค่รู้สึกเสียดายแทนเขา… อย่างใดเสีย มันก็เป็นโอกาสที่หาได้ยาก และเขาเองก็ผ่านการคัดเลือกแล้วด้วย…”
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ในวันที่ต้องออกเดินทางเขากลับล้มป่วยและยอมแพ้ง่ายๆ ช่างน่าเสียดายจริงๆ
หลัวเยี่ยนหลินแอบถอนหายใจ
ชัดเจนว่าน้องสาวผู้ซื่อบื้อของตนแอบชอบเจ้าหนุ่มนั่น แต่ดันไม่รู้ตัวเสียนี่
“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ใช่คนไร้น้ำยา ถึงครั้งนี้จะไม่ได้มากับเรา แต่ในอนาคตจะต้องมีโอกาสอื่นสำหรับเขาแน่นอน”
หลัวเยี่ยนหลินกล่าว
“นอกจากนี้ เขาเองยังมีหรงซิวคอยช่วยเหลือ”
เอาไว้มีเวลา เขาไปหาหรงซิวแล้วสอบถามเกี่ยวกับภูมิหลังของฉู่เยว่ดูสักที
ถ้าเด็กนั่นเก่งกาจไปเสียทุกด้านจริงๆ ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้…
ยามนี้หลัวซือซือไม่รู้เลยว่าพี่ชายของตนกำลังคิดไปไกลแล้ว
นางพยักหน้าและพูดอย่างแข็งขัน
“ข้าเองก็หวังให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ เผื่อวันหนึ่งจะได้มีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นกับเขาสักครั้ง!”
…
ที่ด้านหลังของฝูงชน เจียงจื่อหยวนยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสตันชิงอย่างเงียบเชียบ มิได้สนทนาสัพเพเหระเหมือนกลุ่มคนด้านหน้า
ยิ่งฟังนางก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
ราวกับคนเหล่านั้นจงใจเมินนางโดยสิ้นเชิง
หากเป็นแค่วันสองวันก็ยังพอทน
โดยเฉพาะพวกของเหลี่ยงเซียวเซียว ที่แบ่งกลุ่มแยกตัวออกห่างจากนางอย่างชัดเจน หากแต่ระเบิดเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี!
ทำให้นางนึกถึงช่วงแรกที่มีแต่คนเข้าหา รุมล้อมและประจบประแจงนางกันเป็นขโยง ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับแย่ลงและไม่มีใครอยู่เคียงข้างนางเลยสักคน!
ถ้าไม่ใช่เพราะได้โอกาสไปบุพกาลชายแดนเหนือ นางคงหมดความอดทนไปนานแล้ว!
ผู้อาวุโสตันชิงเหลือบมองนางสองสามที คิดหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่านางกำลังกลัดกลุ้มทุกข์ใจเรื่องใด?
อย่างใดนางก็เป็นศิษย์ของเขา พอเห็นแบบนี้เขาเองก็ทุกข์ใจ
“จื่อหยวน เจ้าได้ศึกษาโครงสร้างค่ายกลที่ข้าให้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง?”
เจียงจื่อหยวนตอบกลับทันที
“ศิษย์ดูไปเกือบหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“จักดูอย่างเดียวไม่ได้ เจ้าต้องวิเคราะห์อย่างละเอียดด้วย!”
ผู้อาวุโสตันชิงเอ่ยเสียงจริงจัง
“เจ้าเป็นทั้งจอมยุทธ์ ทั้งปรมาจารย์ ที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งสองแขนง หากต้องการพัฒนาทักษะเหล่านี้อย่างสมดุล เจ้าต้องทุ่มเทมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะการฝึกปรมาจารย์ ที่เจ้ามิอาจทำเป็นเล่นได้”
“ขอบพระคุณคำสอนของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ” ดวงหน้านวลของเจี่ยงจือหยวนเห่อร้อนด้วยความอับอาย
เพราะช่วงนี้นางละเลยการฝึกฝนจริงๆ
เนื่องจากนางอารมณ์ไม่ดีและควบคุมตัวเองไม่ได้ นางจึงไม่ได้ศึกษาค่ายกลมาเป็นเดือนแล้ว
หากผู้อาวุโสตันชิงทดสอบสมรรถภาพตอนนี้ นางคงล้มเหลวเป็นแน่
“เจ้าเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ถึงข้าไม่พูด แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจ”
ผู้อาวุโสตันชิงเว้นจังหวะพูด
“ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามาก! ยามนี้เจ้าเป็นปรมาจารย์ระดับเก้าแล้ว หากทะลวงได้เร็วกว่านี้ ไม่รู้ว่าเจ้าจักเอาชนะคนเหล่านั้นได้มากมายเท่าไร ไม่ว่าจะในสำนักหลิงเซียวหรือในอาณาเสิ่นซวี่ ความแข็งแกร่งเท่านั้น… คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
เจียงจื่อหยวนหลุบตาลงแล้วพยักหน้าระรัว
“จื่อหยวนทราบเจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง เจ้าติดอยู่ในขั้นครึ่งเทพมาพักหนึ่งแล้ว คราวนี้เมื่อไปถึงบุพกาลชายแดนเหนือ เจ้าต้องทะลวงผ่านขั้นนี้ให้ได้!”
เจียงจื่อหยวนกำหมัดแน่น
“รับทราบเจ้าค่ะ!”
…
ณ สำนักหลิงเซียว
บนภูเขาจิ่วเหิง
ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง
ใบหน้านวลเต็มไปด้วยตั้งใจ ขนงเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความประหม่าที่ไม่ค่อยได้เห็นจากนาง มือเรียวยกขึ้นแล้วตวัดปลายนิ้ววาดบางสิ่งบนชั้นอากาศตรงหน้า
มันคือโครงสร้างของค่ายกลจิ๋ว
หากใครใครเข้ามาเห็นฉากนี้ ก็จะพบว่าค่ายกลเล็กจิ๋วนี้ คล้ายกับรูปแบบของค่ายกลที่ส่องแสงระยิบระยับบนพื้นห้องมาก!
ฉู่หลิวเยว่กำลังพยายามลอกลายค่ายกลดังกล่าว!