ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1308 สวนสมุนไพรของนาง
ตอนที่ 1308 สวนสมุนไพรของนาง
แรงสั่นสะเทือนนี้ทำเอาบุรุษสองคนตื่นตระหนกสุดขีด!
“นั่นใคร!?”
ฉู่หลิวเยว่อึดอัดใจไปหมด ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเค้นหัวใจของนางอย่างแรง
หากถูกจับได้แล้วนางจะแก้ตัวอย่างใด!
เมื่อไร้ซึ่งคำตอบ ศิษย์หนุ่มทั้งสองจึงหันมามองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาตึงเครียดขึ้นทันควัน
หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดัง
“นั่นใคร! ไยจักหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนั้น ถ้าไม่รีบออกมา! ก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ปรากฏบนหน้าผากของฉู่หลิวเยว่
ดวงตากลมหลุบมองดอกท้อบนข้อมือของตน
ถ้าพวกเขาเข้าใกล้มากขึ้น นางก็แค่…
ฟิ้ว!
เสียงของบางสิ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามา!
ชายที่พูดประโยคเมื่อครู่เป็นคนขว้างกริชใส่นาง!
“โผล่หัวออกมาเสีย!”
ชายหนุ่มอีกคนรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอดพลันกระตุ้นพลังปราณในกาย และเตรียมจะหายตัวไปจากที่นี่!
ทว่าขณะเดียวกัน นางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ก่อตัวขึ้นด้านหลัง
นางหันกลับไปมองทันที พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
นั่นเพราะ…
จู่ๆ ค่ายกลของภูเขาอวี้เหิงที่อยู่ข้างหลังนาง ก็เปิดออกเป็นช่องเล็กๆ!
ฟึบ!
กริชเล่มสั้นทะลุเข้าไปในโขดหินด้านหน้าฉู่หลิวเยว่!
ฉู่หลิวเยว่ตัดสินใจแล้วพุ่งตัวตามเข้าไปข้างใน!
ร่างเงาสีดำพลันหายวับไปกับตา
หลังจากนางจากไปเพียงเสี้ยววิ ชายคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาแล้วมองไปด้านหลังโขดหิน
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดพลันแข็งทื่อ
ชายอีกคนหนึ่งตามมา และถามว่า
“ใครหรือ?”
ชายผู้ที่มาถึงก่อนขมวดคิ้วแล้วส่ายหัวไปมา
“ไม่มีใคร”
“ไม่มีใคร เป็นไปได้อย่างใด?” ชายหนุ่มเจ้าของเสียงหยิบกริชอีกเล่มออกมา แล้วมองไปด้านหลังโขดหิน “ข้าสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีคนอยู่ตรงนี้! และเมื่อครู่ก็เกิดความผันผวนขึ้นที่ค่ายกลมิใช่หรือ?”
“แต่มันไม่มีใครอยู่จริงๆ ข้าเองก็ไม่เห็นใครวิ่งผ่านตาไปเลย”
“นี่มัน…”
“แต่ตอนนี้… ความผันผวนของค่ายกลสงบลงแล้ว”
“… นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? พวกเราคงไม่ได้ตาฝาดไปเองใช่หรือไม่?”
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
ความว้าวุ่นในใจของพวกเขาเริ่มสงบลง และเริ่มสงสัยว่าพวกเขาอาจจะติ๊ต่างไปเอง
“บางทีเราอาจจะคิดไปเองจริงๆ… ค่ายกลของภูเขาอวี้เหิงนั้นแข็งแกร่งมาก คนธรรมดาย่อมไม่สามารถผ่านเข้าไปได้”
หนึ่งในนั้นพึมพำและส่ายหัว
“ช่างเถอะ! กลับกันดีกว่า!”
ต่อให้ค้นหาต่อไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายคนทั้งสองก็จำต้องกลับไปพร้อมความสับสนงุนงง
…
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ของคนเหล่านั้น ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง
ค่ายกลโปร่งใสดังกล่าวกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว มันดูปกติเสียจนไม่มีใครดูออกว่าครู่ก่อนได้มีคนทะลุเข้าไปด้านใน
ฉู่หลิวเยว่ก้มมองร่างกายของตนราวไม่เชื่อ
นี่นาง… ทะลุเข้ามาทั้งๆ แบบนี้จริงหรือ?”
ย้อนกลับไปตอนที่นางสัมผัสกับค่ายกล แทนที่มันจะต่อต้านนาง แต่มันกลับเปิดออกและปล่อยให้นางเข้ามา…
หรือว่าค่ายกลยนี้จะสัมผัสได้ถึงลมปราณและพลังของนาง?
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน พลันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ
จากนั้นนางก็ใช้นิมิตในความทรงจำเป็นตัวนำทาง และพบกับทางขึ้นภูเขาในเวลาอันรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ตั้งสติแล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
…
เส้นทางด้านบนภูเขาอวี้เหิงนั้นค่อนข้างเป็นระเบียบ ซึ่งแตกต่างจากยอดเขาอื่นๆ ในสำนักวิชา
แม้ว่ามันจะสูงชัน หากแต่มีความประณีตและกำหนดทิศทางสิ่งต่างๆ บนเขาเป็นอย่างดี ราวกับมีคนจัดเตรียมไว้ด้วยความใส่ใจและระมัดระวัง ช่างดูเจริญหูเจริญตายิ่งนัก
ขั้นบันไดถูกแกะสลักอย่างวิจิตร พวกมันเรียงตัวเป็นชั้นๆ อย่างงดงาม และแผ่ขยายขึ้นไปด้านบนตามความชันของภูเขา
ฉู่หลิวเยว่หันมามองทิวทัศน์ด้านล่างทั้งสองฝั่งเป็นครั้งคราว พร้อมความรู้สึกคุ้นเคยในใจ ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นางเคยมาที่นี่แล้วจริงๆ
ร่างบางสาวเท้าไปพลางคิดหวนถึงเรื่องในอดีตไปพลาง
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็มาถึงยอดเขา
ศาลาทรงแปดเหลี่ยมที่ดูเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา
ภายในศาลามีโต๊ะหินอ่อนและม้านั่งหินอ่อนสองตัว
บนโต๊ะหินอ่อนมีกระดานหมากรุก พร้อมโถหมากรุกวางอยู่คนละด้าน
การจัดวางทุกอย่างล้วนเหมือนในความทรงจำทุกประการ
พลันมีคลื่นอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้ พลุ่งพล่านขึ้นในหัวใจของนาง
เรียวขายาวก้าวเท้าเข้าไปใกล้ทีละนิดโดยไม่รู้ตัว และนั่งลงบนม้านั่งหินอ่อนตัวหนึ่ง
กระดานหมากรุกสะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่ และโถหมากรุกเองก็ได้รับการดูแลอย่างดี
เสมือนไม่เคยมีใครจากไปไหน
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือออกมาราวกับว่านางต้องการสัมผัสมัน
แต่กลับหยุดชะงัก และลังเลอยู่พักหนึ่ง
ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้กลับบ้าน แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เอง
ในที่สุดภาพที่นางเคยจินตนาการไว้นับครั้งไม่ถ้วนก็เกิดขึ้นแล้ว แต่จู่ๆ นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ราวกับมีบางอย่างรบกวนจิตใจนางอยู่
ลมภูเขาพัดโชยมาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพร
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
ภายใต้แสงจันทร์อันสุกสกาว ทั่วทั้งผืนฟ้าและพสุธาล้วนสว่างไวด้วยแสงจันทร์
ด้านล่างหน้าผามีแม่น้ำไหลเชี่ยวสายหนึ่งทอดตัวขวางกั้นระหว่างเขาลูกนี้ และทิวเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
และท่ามกลางภูเขาเหล่านั้น ก็มีสถานที่หนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าใคร
นั่นคือสวนสมุนไพรต้องห้าม
ค่ายกลอันใหญ่ปกคลุมสวนนั่นไว้ มิให้คนภายนอกได้ชื่นชม และมองเห็นได้เพียงเค้าโครงเลือนรางเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยากว่า ทิวทัศน์ภายในนั้นสวยงามเพียงใด
ฉู่หลิวเยว่ยังคงลังเลและจมอยู่กับความสับสนครู่หนึ่ง
ความรู้สึกนี้ช่างดูคุ้นเคยนัก และดูเป็นธรรมชาติเกินไป
จนนางเผลอคิดว่า นางอยู่ที่นี่มาโดยตลอดและไม่เคยจากไปไหน
ทั้งต้นไม้ทุกต้น โต๊ะและเก้าอี้ทุกตัวที่อยู่ที่นี่ ล้วนเหมือนเดิมทั้งสิ้น ไร้ซึ่งฝุ่นหรือรอยเปื้อนใดๆ
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลง
หลังจากนิ่งค้างไปนาน ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืนและเขย่งปลายเท้าขึ้น แล้วบินถลาไปข้างหน้า!