ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1313 คำบัญชา
ตอนที่ 1313 คำบัญชา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว กระทั่งในที่สุดปีกของถวนจื่อก็ค่อยๆ ขยับเล็กน้อย ราวกับเป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะตื่นขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้
ร่างกายรู้สึกราวถูกมีดฟันใส่อย่างแรง นำมาซึ่งความเจ็บปวดสาหัสทั่วทุกแห่งหน
ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใด ตอนนี้นางก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับแปดเท่านั้น เช่นนั้นนางจะต้านทานพลังของอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างใด?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังแห่งสายเลือดของกษายะหางวายุ ที่เกือบจะอยู่ในระดับสูงสุด!
อาฉยงที่อยู่ข้างๆ ได้นำพลังส่วนใหญ่เข้าสู่ร่างของตัวเอง
แม้กระทั่งผิวหนังของมันที่แข็งมาก กลับค่อยๆ ปรากฏรอยแตกเล็กๆ ขึ้นมา
เลือดสดๆ ไหลออกมาอย่างช้าๆ
“ฮือ…”
เมื่อเทาเทาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มันทั้งกลัวและกังวลเป็นอย่างมาก และในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
มันวิ่งเข้ามาพยุงร่างของอาฉยงไว้
แต่อาฉยงมิได้ตอบสนอง
เมื่อมองดูเลือดบนพื้น น้ำตาเทาเทาก็ไหลรินออกมา ก่อนจะดันเขาของตนเข้าไป เพื่อหวังจะช่วยแม่ของมัน
เมื่อฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้ นางก็เอ่ยเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เทาเทา ถอยไป!”
ตอนนี้มันยังไม่โตเต็มวัย จึงขาดความแข็งแกร่งของพลังในทุกด้าน แม้แต่ก้าวเข้าสู่ธรณีประตูของการเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ มันก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ แล้วจะมารองรับพลังของถวนจื่อได้อย่างใด?
จู่ๆ อาฉยงก็ลืมตาขึ้นและเตะเทาเทากระเด็นออกไป
เทาเทากลิ้งไปมาเป็นครึ่งวงกลมอยู่บนพื้น เปื้อนเลือดและโคลนมากมาย แลดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก
มันลุกขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองใจ และยังคิดจะเข้าไปอีกครั้ง
เสียงคำรามต่ำดังออกมาจากลำคอของอาฉยง เสียงของมันเต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม!
เทาเทาได้แต่ยืนตกใจอยู่ตรงนั้นจนไม่กล้าขยับตัว และร้องไห้ออกมาไม่หยุด
เลือดไหลออกมาจากมุมปากของฉู่หลิวเยว่ อวัยวะภายในของนางจะถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่งอย่างบ้าคลั่ง ช่างทรมานยิ่งนัก!
และในไม่ช้า แก้มสีแดงปลั่งของนางก็เริ่มซีดลง สีแดงฝาดของเส้นเลือดฝอยทั้งหมดจางหายไปอย่างรวดเร็ว
คลื่นความอ่อนล้าหลั่งไหลออกมาจากส่วนลึกในร่างกาย ภาพตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวเทา
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่ามันใกล้จะถึงขีดจำกัดของนางแล้ว
ตั้งแต่เมื่อคืนที่รู้ว่าถวนจื่อกำลังจะทะลวงขั้นพลังปราณ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสองถึงสามชั่วยามแล้ว
มันน่าทึ่งมากที่ฉู่หลิวเยว่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
หากเป็นจอมยุทธ์ระดับแปดผู้อื่น ร่างกายของพวกเขาอาจทนไม่ไหวจนระเบิดออกมาเสียตั้งนานแล้ว
“เจ้าจะทำเช่นนี้ต่อไม่ได้แล้ว”
เสียงของอินทรีสามตาดังเข้ามาในหูของนาง
“ให้ข้าทำเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่ ส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ได้! ที่นี่มีสัตว์อสูรอยู่มากมาย หากเจ้าปรากฏตัว พวกมันก็จะสังเกตเห็นเจ้าแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสอวี๋อวี้และผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็อยู่ข้างนอกด้วย”
นางจะเสี่ยงกับเรื่องนี้ไม่ได้
“แต่เจ้าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว”
เสียงของอินทรีสามตาเย็นชาและหนักแน่นเป็นพิเศษ
“เจ้าอยากตายหรืออย่างใด!?”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่โค้งงอเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันบางเบานั้น
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มองไปที่เทาเทา แล้วพูดทีละคำว่า
“เทาเทา หากเจ้าอยากช่วยแม่ของเจ้า เจ้าต้องรีบไปขอกำลังเสริมจากที่อื่น ให้เข้ามาช่วยในทันที”
เทาเทาหยุดร้องไห้ ตากลมโตสองข้างหันไปมองฉู่หลิวเยว่ทันควัน
กำลังเสริม?
กำลังเสริมจากไหนกัน?
อินทรีสามตากดเสียงต่ำกว่าเดิม
“มนุษย์สองคนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับกษายะหางวายุ ถึงจะตามพวกเขามา ก็คงจะช่วยอันใดไม่ได้ เจ้ายังจะ…”
“ใครบอกว่าข้าหมายถึงพวกเขา?”
ฉู่หลิวเยว่ ขัดจังหวะอินทรีสามตาที่กำลังพูดอยู่
อินทรีสามตาตกตะลึงอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นใครอีกล่ะ?”
เหมือนว่าแถวนี้จะมีแค่สองคนนั้นที่สามารถเข้ามาหาพวกเขาได้มิใช่หรือ?
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตอบอันใด นางทำเพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางอดทนต่อความเจ็บปวดในร่างกายและพูดออกมาช้าๆ
“อสูรด่างหูเงิน, หงส์ฟ้า, อสูรราตรีนิมิต, วานรยักษ์เก้าสายฟ้า…”
ชื่อของอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากปากของนางทีละตัว
“…ให้พวกมันรีบมาทันที!”
หลังจากสิ้นเสียง ภายในถ้ำก็กลับสู่ความเงียบงัน
อินทรีสามตาถามด้วยความฉงนจนแทบไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้า เจ้าอยากเชิญอสูรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาช่วยหรือ!?”
พวกมันเหล่านี้ล้วนเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ละตัวมีความเย่อหยิ่ง ดุร้าย และบ้าระห่ำยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะมารวมตัวเพื่อช่วยเหลือใครในเวลาเดียวกัน
แม้แต่สัตว์อสูรระดับเก้าเหล่านั้นยังล้วนไม่เต็มใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งของพวกมนุษย์เลย แล้วนับประสาอันใดกับพวกมันล่ะ?
นี่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดอันใดอยู่กันแน่!?
หรือว่านางจะบ้าไปเสียแล้ว!?
แต่แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้บ้า ในทางกลับกัน นางกลับใจเย็นเป็นอย่างมาก
“ถวนจื่อเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้พาสัตว์อสูรระดับเก้ามาก็ไม่มีประโยชน์ โดยปกติแล้วจะต้องเรียกอสูรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาเท่านั้น”
อินทรีสามตาแทบสำลัก และไม่รู้ว่าจะคัดค้านอย่างใดดี
ในมุมมองของเขา ฉู่หลิวเยว่คงเพียงแค่คิดฟุ้งซ่านไปเท่านั้น
แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับไม่สนใจในความแคลงใจของเขา นางเพียงแค่มองไปที่เทาเทา และพูดอย่างเร่งเร้าว่า
“หากช้ากว่านี้อีกหน่อย จะสายเกินไปแล้วนะ”
เทาเทาตกใจสะดุ้งโหยง พลันได้สติขึ้นมา และรีบหันหลังแล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันที
ขณะที่กำลังวิ่งจวนจะถึงประตูถ้ำ ฉู่หลิวเยว่ก็ตะโกนเรียกอีกครั้ง
“ช้าก่อน”
เทาเทาหันหลังกลับไป
เสียงของฉู่หลิวเยว่เบามาก หากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมากมาย ที่ทำเอาคนฟังสั่นสะท้าน!
“ถ้าหากพวกมันปฏิเสธมิยอมให้ความร่วมมือ ก็บอกไปว่าข้าสั่ง”
“หากใครไม่ฟัง สักวันข้าจะทำให้สวนอสูรนี้นองเลือดอีกครา!”
…
การรอคอยนั้นช่างยาวนานและทุกข์ทรมานเสมอ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกุมมือของเขาแน่น พลางขมวดคิ้วด้วยความกังวล และจ้องมองไปที่ยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
หัวใจของเขาราวถูกแขวนค้างเติงอยู่กลางอากาศ ไม่ดีไม่แย่ แต่อึดอัดใจจนเกินทน
“นี่! ครู่ก่อนยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เลย เหตุใดตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ เลยเล่า? ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉู่เยว่จะเป็นอย่างใดบ้าง! ”
แม้ว่าภายในใจของผู้อาวุโสอวี๋อวี้จะกังวลมากเช่นกัน แต่เขากลับดูนิ่งกว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงมาก
อันที่จริงเขาก็เคยเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่า ฉู่เยว่สังหารเสือดาวสุวรรณเมฆาและหมาป่าปีศาจทองดำด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียวได้อย่างใด
แต่พอเห็นว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงวิตกกังวลอย่างมาก เขาก็หยุดคิดไปพักหนึ่ง และกล่าวปลอบประโลมไปว่า
“ฮวาเฟิง ตอนนี้เจ้ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์! ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้พลังของเจ้าเด็กนั่นไม่เลวเลย ย่อมไม่เกิด…”
ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดไปชั่วขณะ สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมองไปตามสายตาของเขา พลันเกิดคำถามมากมายขึ้นมาในใจ
“นั่นคือ… ลูกของอสูรสันหลังเหล็กหรือ?”
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้พยักหน้า
“มันออกมาแล้ว หากเช่นนั้นข้างในคงมีอันใด… ไม่สิ เหตุใดมันถึงวิ่งลงไปจากภูเขาล่ะ?”
ขณะกล่าวเช่นนั้น เขาก็เห็นลูกอสูรสันหลังเหล็กตัวนั้นพุ่งตัวออกมาจากถ้ำ แล้ววิ่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว!
ตึง! ตึง!
แม้แต่พื้นดินที่วิ่งผ่านล้วนสั่นสะเทือนไปทุกสารทิศ!
ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ไม่รู้ว่าเหตุใด แต่จู่ๆ เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
ตามหลักแล้ว ลูกอสูรสันหลังเหล็กตัวนี้น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉู่เยว่
ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนี้ มันถึงวิ่งพรวดพราดออกไปเพียงลำพังเช่นนั้น
แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากฉู่เยว่และอสูรสันหลังเหล็กโตเต็มวัยในถ้ำนั้นเลยแม้แต่น้อย
ช่างน่าแปลกเสียจริง…
“ไม่ได้การล่ะ ข้าคงต้องลงไปดูสักหน่อย!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเตรียมวิ่งออกไป
แต่ผู้อาวุโสอวี๋อวี้รีบคว้าเขาไว้ก่อน
“รออีกสักหน่อยเถอะ!”
“ยังจะรออันใดอีก?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงร้อนรนจนเหงื่อชโลมไปทั่วทั้งหัว
“หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าเด็กนั่นจริงๆ เมื่อถึงตอนนั้นมันอาจสายเกินไปแล้ว! ปล่อยมือเจ้าซะ! เจ้า…”
ขณะที่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกำลังดิ้นรนขัดขืน ทันใดนั้นเขาก็เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้อาวุโสอวี๋อวี้!
หัวใจของเขาเต้นรัวดัง “ตึกตัก” พลันรีบหันกลับไปมองทันที!
และพอเห็นภาพนั้น หัวใจของเขาแทบร่วงไปที่ตาตุ่ม!
“เหตุใดอสูรศักดิ์สิทธิ์จึงมุ่งหน้ามาที่นี่ในยามนี้!?”