ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1340 สนทนา
เมื่อเผชิญหน้าตอบคำถามของผู้อาวุโสฮวาเฟิง เจียงจื่อหยวนกลับไม่พูดไม่จา น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
ไม่ว่าใครที่เห็นก็รู้ว่านางจะต้องได้เจอเรื่องเลวร้ายมาอย่างแน่นอน ท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
แต่ชือรุ่ยเออร์กลับเหมือนไม่แยแสเรื่องเหล่านี้เลย พร้อมถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ที่พวกเรายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้จะมาดูเจ้าร้องไห้ ตอบคำถามผู้อาวุโสฮวาเฟิงซะ อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน เช่นนั้นพวกเราถึงจะสามารถช่วยเจ้าได้ ไม่ใช่หรือไง?”
คำพูดของเจียงจื่อหยวนติดอยู่ในลำคอ
นางร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่ร้องก็ไม่ได้
น้ำตาไหลอาบหน้า ท่าทางดูกระดากอายมาก
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองชือรุ่ยเออร์โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
นางคิดว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา ตอนนี้สิเป็นเรื่องจริง ชือรุ่ยเออร์ไม่ชอบเจียงจื่อหยวน
สามารถพูดได้ว่าเกลียด
อีกทั้งนางยังไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
และเหมือนว่าเจียงจื่อหยวนค่อนข้างที่จะหวาดกลัวนาง หลังจากที่ถูกนางพูดเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ได้โต้เถียง แม้กระทั่งแสดงสีหน้าไม่พอใจนางยังไม่กล้า
ไม่รู้ว่าทั้งคู่มีความบาดหมางอันใดกัน…
“ข้า…ก่อนหน้านี้พวกเรามาที่บุพกาลชายแดนเหนือด้วยกัน แต่หลังจากออกมาจากค่ายกลได้ไม่นาน พวกเราก็ถูกโจมตี…”
“คนที่ลงมือคือใคร?” ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถามขึ้นทันที
เจียงจื่อหยวนส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ไม่มี ไม่มีใคร…เป็นเพียงแค่ค่ายกลเท่านั้น…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและอาวุโสคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย
“ค่ายกลนั้นแข็งแกร่งมาก ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ ร่วมมือกัน สุดท้ายถึงจะสามารถทะลวงออกมาได้ แต่ก็หนีรอดออกมาได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือ…”
ในแววตาของนางมีร่องรอยความหวาดกลัว
“แต่ทันใดนั้นพื้นก็ถล่มลงมา พวกเขาทั้งหมด…หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดหายตัวไป พื้นดินก็กลับมาประสานกันใหม่อีกครั้ง…ข้า…ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างใดบ้าง…”
ขณะที่พูดนางก็ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาของตนเองได้ แต่นางกลัวว่าชือรุ่ยเออร์จะตำหนินางอีก นางจึงรีบเช็ดอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถามขึ้นเสียงเรียบ
“หนีออกมาได้เท่าไร?”
แววตาเจียงจื่อหยวนลังเลไปเล็กน้อยจากนั้นก็พูดว่า
“ประมาณ…ประมาณห้าสิบหกสิบคนละมั้ง…มีผู้อาวุโสจำนวนสิบกว่าคน และยังมีศิษย์อีกสามสิบสี่สิบกว่าคน แต่รายละเอียดที่มากกว่านั้น ข้ากลับมองไม่ชัดเจน…”
ทุกคนเงียบเสียงไป
ห้าสิบหกสิบคน…
สำนักหลิงเซียวมากันตั้งสามร้อยกว่าคน!
และครั้งนี้เกิดการสูญหายไปมากกว่าครึ่ง เป็นตายไม่ทราบ!
หากเกิดเรื่องเข้าจริงๆ แล้วละก็…สำหรับสำนักหลิงเซียวแล้ว นี่จะเป็นการโจมตีขนาดใหญ่!
“ในเมื่อเจ้าหนีมาพร้อมกับคนเหล่านั้น แล้วเหตุใดตอนนี้จึงเหลือเพียงเจ้าคนเดียวล่ะ?”
ชือรุ่ยเออร์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจียงจื่อหยวนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย พร้อมหลุบสายตาลงต่ำ ท่าทางดูจนตรอกและทุกข์ทน
“ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้…เดิมทีพวกเราก็อยู่ด้วยกัน ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนบอกว่าจะหาทางส่งคนพวกนี้กลับไป แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ได้รับการโจมตีอีกครั้ง และภายในอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้พวกเราถูกแยกออกจากกัน…จนตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าคนอื่นอยู่ที่ใด”
ขณะที่พูดนางก็เช็ดน้ำตาตัวเองไปด้วย
“หากไม่ได้เจอกับท่านผู้อาวุโส เกรงว่าข้าก็คงจะออกจากที่นี่ไม่ได้…”
ท่าทางของนางดูเศร้าหมองอย่างยิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ที่นางได้พบเจอมา
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น
เดิมทีเขาคิดว่าหากได้เจอเจียงจื่อหยวนแล้ว อาจจะเจอเบาะแสอันใดเพิ่มมากขึ้น แต่ดูจากตอนนี้ เหมือนว่าหนทางจะมืดแปดด้าน
อีกฝ่ายเตรียมตัวมาอย่างดี แม้กระทั่งใบหน้ายังไม่เปิดเผย แต่ก็สามารถคุมขังคนของสำนักหลิงเซียวได้เป็นจำนวนมากแล้ว
เจียงจื่อหยวนเพียงคนเดียวอาจจะไม่สามารถพูดอันใดได้มาก
หากต้องการตามหาคนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
“เจ้าวิ่งมาจากทิศทางไหน?” ชือรุ่ยเออร์จ้องมองใบหน้าของเจียงจื่อหยวน พร้อมถามขึ้น “ที่นี่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ละก้าวต้องสูญเสียพละกำลังอย่างมาก เจ้า…เพียงคนเดียว น่าจะเดินทางไม่ได้ไกลหรอกมั้ง?”
หากเดินกลับตามเส้นทางหลบหนีของเจียงจื่อหยวน ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถสืบหาอันใดได้บางอย่าง
เจียงจื่อหยวนชะงักไปเล็กน้อยแล้วกัดริมฝีปาก
“ข้า…ข้ามัวแต่วิ่งหนี ดังนั้นจึงรู้แค่วิ่งตรงมาข้างหน้า แต่ไม่รู้ว่าตนเองได้เปลี่ยนเส้นทางไปกี่ครั้งแล้ว และไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลขนาดไหนแล้ว ทุ่งหิมะแห่งนี้ไม่มีขอบเขต ไร้ที่สิ้นสุด ข้า…ข้าจึงจำไม่ได้จริงๆ …”
ระหว่างฟ้าดิน ทิวทัศน์ที่จำเจ ราวกับไม่มีขอบเขตขวางกั้น
แม้กระทั่งวัตถุที่เอาไว้สังเกตทิศทางก็ไม่มีเลย ดังนั้นจึงยากที่จะแยกแยะทิศทาง
ชือรุ่ยเออร์ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็ไม่ได้พูดอันใดอีก
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจึงพูดกับผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งที่อยู่ด้านข้างว่า
“เจ้าช่วยดูแผลของนางก่อน หลังจากนางดีขึ้นแล้ว พวกเราจะได้เดินทางต่อ”
ใบหน้าของเจียงจื่อหยวนเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”
ชือรุ่ยเออร์หันมามองทางผู้อาวุโสฮวาเฟิง
“ผู้อาวุโส ข้าขอคุยกับท่านตามลำพัง”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพยักหน้า
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไปที่ด้านข้าง
เจียงจื่อหยวนเหลือบสายตามอง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
เรื่องราวก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าชือรุ่ยเออร์ยังไม่ชอบหน้านางอยู่
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครั้งนี้จะต้องใช้วิธีการใดต่อกรกับอีกฝ่าย…
แต่อย่างใดก็ตามเหมือนว่าครั้งนี้นางจะพาคนของเฟยซิงเหมินมาด้วยไม่น้อย ยากที่จะต่อต้าน…
ทันใดนั้นเอง สายตาของนางก็หรี่ลง หลังจากนั้นนางก็มองเห็นฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มคน
“ฉู่เยว่? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างใด?”
เจียงจื่อหยวนอดที่จะกรีดร้องด้วยความตกใจไม่ได้
ก่อนหน้านี้ที่ออกเดินทาง ฉู่เยว่บอกว่าไม่สบายไม่ใช่หรือ ก็เลยไม่ได้มาที่นี่แล้ว?
แล้วเหตุใดตอนนี้อีกฝ่ายถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้นมาบางๆ
“เหตุใดหรือ เหตุใดศิษย์พี่เจียงต้องแปลกใจที่ข้าอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ?”
ทันใดนั้นเจียงจื่อหยวนก็คิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเหลือบตาไปมองผู้อาวุโสที่กำลังรักษาบาดแผลให้นางอยู่ด้านข้าง
“ผู้อาวุโส ท่าน…พวกท่านพาฉู่เยว่มาด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสท่านนั้นพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้า “ใช่แล้ว”
เจียงจื่อหยวนจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า
“นี่…นี่มันจะได้อย่างใดกัน?”
“เหตุใดถึงไม่ได้ล่ะ?”
ผู้อาวุโสท่านนั้นหยิบยาออกมา จากนั้นก็ทาไปที่บริเวณปากแผลบนแขนของเจียงจื่อหยวนเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนหน้านี้ฉู่เยว่เคยผ่านการทดสอบมาแล้ว เพียงแต่แค่ก่อนหน้านี้มีเหตุบังเอิญถึงไม่ได้มา ในเมื่อครั้งนี้พวกเรามา จึงให้เขาติดตามมาด้วย”
“แต่ว่า…”
เจียงจื่อหยวนยังอยากจะพูดอันใดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโส นางก็ตระหนักขึ้นได้ พร้อมกลืนคำพูดที่เหลือลงไป
จากนั้นนางก็รีบหันไปมองสีหน้าของท่านผู้อาวุโสคนอื่น และพบว่าคนอื่นก็ปฏิบัติต่อฉู่เยว่ไม่เลวนัก
นางถอนสายตาออกมา ความสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจ
เหตุใด…
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นคนที่ติดตามมาทีหลัง อีกทั้งไม่น่าจะพาศิษย์คนอื่นมาด้วย แล้วเหตุใดเขาถึงพาฉู่เยว่มาที่นี่ด้วยล่ะ?
หรือว่าเขาไม่คิดว่าการพาคนเช่นนี้มาด้วยหนึ่งคนจะมีภาระที่เพิ่มขึ้น?
เจียงจื่อหยวนมีคำถามมากมาย
แต่นางก็คุ้นเคยกับการสังเกตสีหน้าของผู้อื่น ครั้งนี้ทุกคนปฏิบัติต่อฉู่เยว่เป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงรู้ว่าอันใดควรพูดอันใดไม่ควรพูด
โดยเฉพาะ…เวลาที่มีชือรุ่ยเออร์อยู่ด้านข้าง
เดิมทีนางคิดว่าตนเองจะต้องตายแล้ว แต่ใครจะรู้เล่าว่าในสถานการณ์ที่เสี่ยงความเป็นความตายนางกลับได้มาเจอผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ
ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างใดนางก็จะต้องติดตามเขาไปให้ได้!
…
อีกด้านหนึ่ง ชือรุ่ยเออร์และผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เดินมาอยู่ด้านข้างแล้ว
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงตั้งใจวางม่านพลังเพื่อไม่ให้คนอื่นแอบฟังอีกด้วย
เขารู้สึกว่าชือรุ่ยเออร์มีเรื่องอันใดบางอย่างสำคัญที่จะต้องพูด
และเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากที่พวกเขาหยุดยืนแล้ว ชือรุ่ยเออร์ก็พูดเปิดประเด็นขึ้น
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ท่านจะพาเจียงจื่อหยวนไปด้วยจริงๆ หรือ?”