ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1351 แย่งชิง
เสียงคำรามของมังกรดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา!
เหมือนกับหอบเอาลมและน้ำค้างแข็งนับพันปีมาด้วย ปกคลุมด้วยรัศมีเลือดและเหล็ก ทำให้หัวใจทุกผู้คนเกิดความหวาดกลัว!
ฉู่หลิวเยว่เหมือนได้ยินเสียงดังหึ่งๆ ภายในโสตประสาท ความกดดันอันรุนแรงแผ่ขยายออกมา จากนั้นก็ยังแผ่กระจายไปยังส่วนลึกของหัวใจนางอีกด้วย! มันแทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก!
นางรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความรวดเร็ว!
หุบเขาอันทอดยาว เห็นเพียงหน้าผาสองข้างทาง ตรงกลางมีทรายแดงปลิวว่อนตามสายลม มันรกร้างว่างเปล่าอย่างมาก!
“นี่มัน…หรือว่าเผ่ามังกรจะอยู่ที่นี่?”
ทุกคนล้วนตกใจอย่างมาก
แต่เหลี่ยงเส่าคังและคนของเขาหลิงอวิ้นกลับมีสีหน้าที่แปลกไปเล็กน้อย
เหมือนว่าตกใจ แต่ภายในแววตามีความหวาดกลัวและเสียใจปะปนอยู่
“นั่น…นั่นไม่ใช่เผ่ามังกรที่แท้จริง…”
เหลี่ยงเส่าคังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงฝาดฝื่น ลำคอสั่นสะท้าน
“ไม่ใช่เผ่ามังกร? เสียงคำรามของมังกรและแรงกดดันที่มหาศาลขนาดนี้ มันไม่สามารถปลอมแปลงได้ เหตุใดถึง…?”
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ก่อนหน้านี้เหลี่ยงเส่าคังหลอกให้พวกเราไปที่นั่น”
หัวหน้าของเขาหลิงอวิ้นพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก
“ที่นั่นอันตรายอย่างยิ่ง ข้าแนะนำว่าพวกท่านอย่าเข้าไปเสี่ยงอันตรายเลย”
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องโกหก ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันไปมา
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่ามันอาจจะซ่อนความลับอะไรอยู่ก็เป็นได้
แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบรับของเหลี่ยงเส่าคังและคนอื่นแล้ว เหมือนว่ามันจะอันตรายอย่างมากจริงๆ
“รุ่ยเออร์ พวกเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
ชือรุ่ยเออร์ครุ่นคิดอยู่สักพัก ภายในใจรู้สึกลังเลอย่างมาก
แน่นอนว่านางอยากไป แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกนางไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเที่ยวเล่น
คนของเขาหลิงอวิ้นและตระกูลเหลี่ยงบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต นี่มัน…
“ฉู่เยว่ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
คนที่เหลือล้วนหันไปมองฉู่หลิวเยว่ ผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ ตอนนี้เหมือนฉู่หลิวเยว่เป็นกระดูกสันหลังของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เจอปัญหาแล้วไม่สามารถตัดสินใจได้จึงหันมาสอบถามความคิดเห็นจากนาง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า “ไป!”
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ไปไม่ได้นะขอรับ!”
ในตอนนี้เหลี่ยงเส่าคังไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาตะโกนขึ้นมาอย่างรีบร้อน พร้อมดิ้นรนอยากลุกขึ้นยืน
“คุกเข่า!”
ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างหลายคนตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห จากนั้นก็ใช้กระบี่กดร่างของเหลี่ยงเส่าคังเอาไว้
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่หลังคอ และคราบเลือดที่ไหลลงมาอย่างช้าๆ เหลี่ยงเส่าคังก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว แล้วรีบคุกเขาลงไปในทันที
แม้ว่ามันจะน่าอัปยศ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ชีวิตน้อยๆ ของเขาสำคัญที่สุด
“ที่นั่น…ที่นั่นอันตรายมากจริงๆ ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ทำไมท่านถึงต้องทำเช่นนี้!”
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ ถึงได้ทำร้ายคนตระกูลเหลี่ยงไปมากมาย แม้กระทั่งคนของเขาหลิงอวิ้นก็ยังโดนไปด้วย แต่ตอนนี้ในเมื่อข้ารู้แล้ว ข้าจะปล่อยให้พวกท่านไปโดยนิ่งดูดายได้อย่างไร?”
เหลี่ยงเส่าคังไม่อยากให้พวกเขาไปจริงๆ
กว่าพวกเขาจะหนีออกมาจากที่นั่นได้ก็ยากลำบากอย่างยิ่ง แล้วจะให้กลับเข้าไปกับคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร?
หัวหน้าของเขาหลิงอวิ้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ใบหน้าแสดงความไม่เห็นด้วย
แต่ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา ตราบใดที่อีกฝ่ายตอบตกลงว่าจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลี่ยงเส่าคังก็พอ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ขอตัวลาก่อน”
ขณะที่พูด เขาก็โบกมือขึ้นแล้วยกตัวเหลี่ยงเส่าคังจากไป
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพยักหน้า
เหลี่ยงเส่าคังเบิกตากว้างอย่างตกใจ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นไม่คิดที่จะออกหน้าเพื่อช่วยเหลือเขาเลยหรือ?
สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ ตอนนี้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงประสบปัญหามากมายแล้ว
แม้กระทั่งศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักตนเองอย่างหาไม่พบ อีกทั้งยังเพิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากการล้อมโจมตีของอีกาเก้าหาง จะมีแรงไปห่วงคนอื่นได้อย่างไร?
เหลี่ยงเส่าคังเป็นพี่ชายของเหลี่ยงเซียวเซียว แต่พวกเขาในนี้ไม่มีใครเป็นอาจารย์ของเหลี่ยงเซียวเซียวเลย
ถ้าพูดถึงตระกูลเหลี่ยง…
แล้วเขาหลิงอวิ้นสามารถต่อกรได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความแค้นที่พวกเขาคร่าชีวิตคนของอีกฝ่ายไปหลายสิบคน
ในตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ไม่ต้องสนใจ
“ข้า…ข้า…ข้ารู้ว่าเข้าไปทางไหนแล้วจะปลอดภัยมากที่สุด! ผู้อาวุโสฮวาเฟิง หากท่านช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าสามารถไปกับพวกท่านได้!”
สามารถถ่วงเวลาได้หนึ่งเค่อก็คือหนึ่งเค่อ
เขาสามารถมั่นใจได้เลยว่า หลังจากคนเหล่านี้จากไปแล้ว คนของเขาหลิงอวิ้นจะต้องฆ่าเขาในทันทีอย่างแน่นอน!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงลังเลอยู่สักพัก
หากสามารถพาเหลี่ยงเส่าคังไปด้วยละก็ อาจจะสะดวกสบายขึ้นจริงๆ …แต่เขาไม่อยากลงน้ำโคลนไปกับอีกฝ่ายด้วย
“ไม่ต้อง”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาหนึ่งครั้ง
“ผู้อาวุโส หากท่านไม่วางใจ ข้าจะเป็นคนนำทางเอง”
เมื่อผู้อาวุโสฮวาเฟิงเห็นท่าทางมั่นใจของนาง เขาก็รู้สึกโล่งอกไปอย่างมาก
“ได้”
ไม่ว่าอย่างไรก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่ก็รับหน้าที่นำทางมาอยู่แล้วมาตลอดอยู่แล้ว แม้ว่าระหว่างทางจะอันตราย แต่ทุกอย่างก็ปลอดภัยดี
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเชื่อใจนางอย่างมาก
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นจากนั้นก็สาวเท้าไปด้านหน้า
ทุกคนติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เหลี่ยงเส่าคังเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
คนมากมายขนาดนี้ แต่กลับเชื่อฟังเด็กหนุ่มคนหนึ่งเนี่ยนะ?
หรือว่าเด็กที่ชื่อว่าฉู่เยว่อะไรนี่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมาก?
ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน…
นี่คงไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกนะ?
แม้กระทั่งคนของเขาหลิงอวิ้นก็รู้สึกตกใจมากที่ได้เห็นฉากนี้
หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่มีอำนาจในการออกความคิดเห็นมากที่สุดในกลุ่ม?
นอกจากภายนอกที่ดูสะอาดสะอ้าน ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนี่นา…
โฮก!
จากนั้นก็ได้ยินเสียงมังกรคำรามขึ้นอีกครั้ง!
ครั้งนี้ดังและกังวานมากกว่าครั้งก่อน
และแน่นอนว่าแรงกดดันก็แข็งแกร่งกว่า
ในแววตาของหัวหน้าเขาหลิงอวิ้นมีประกายความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้ นอกจากที่พวกเราโดนโจมตีจนบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าครึ่ง เดิมทีแล้วก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินมาที่ด้านหน้าของเหลี่ยงเส่าคัง
พรึ่บ!
กระบี่เล่มยาวชี้ตรงกลางหน้าผากของเหลี่ยงเส่าคัง หากเขาแทงไปด้านหน้าอีกแค่หนึ่งนิ้ว ก็จะสามารถกำจัดอีกฝ่ายได้แล้ว!
เหลี่ยงเส่าคังตกใจจนดวงตาขยายกว้าง หัวใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย
“จื่อหยวน?”
ร่างของเจียงจื่อหยวนแข็งค้าง จากนั้นนางก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไร พร้อมเดินต่อไปด้านหน้า
ในตอนแรกเหลี่ยงเส่าคังยังสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง เขาก็สามารถจำนางได้ในทันที
“จื่อหยวน เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
เขามองไปยังผู้หญิงที่เดินผ่านไปด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเลือด แขนเสื้อด้านซ้ายเหมือนถูกอะไรเผา และบนนั้นมีรอยไหม้ขนาดใหญ่ปรากฏ
ลมหายใจแผ่วเบา ใบหน้าซีดขาว
ผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากคนในความทรงจำของเขาที่ส่งรอยยิ้มสดใสอย่างสิ้นเชิง
แต่เหลี่ยงเส่าคังไม่สนใจที่จะถามคำถามอื่น จึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“จื่อหยวน! เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็ว!”
เพราะว่าความสัมพันธ์ของเหลี่ยงเซียวเซียว พวกเขาจึงนับว่าเป็นคนสนิทชิดเชื้อ
อีกทั้งเหลี่ยงเส่าคังยังคงปันใจให้นางมาโดยตลอด เอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ น่าเสียดายที่เจียงจื่อหยวนทำตัวเหินห่างกับเขา
นางน่าจะเป็นคนที่เหลี่ยงเส่าคังสนิทที่สุดในกลุ่มนี้แล้ว
เมื่อได้ยินเหลี่ยงเส่าคังเรียกชื่อของตนเองออกมา ในใจของเจียงจื่อหยวนก็รู้สึกรำคาญอย่างมาก แต่นางก็ต้องทำน้ำเสียงให้สดใส แล้วพูดขึ้นอย่างลังเลว่า
“คุณชายสามตระกูลเหลี่ยง ไม่ใช่ว่าจื่อหยวนไม่อยากช่วยเจ้า อีกทั้ง…เจ้าก็เห็นแล้วว่า ข้างั้นไม่สามารถพูดอย่างไรได้ ทุกคนล้วนเชื่อฟังฉู่เยว่”
เหลี่ยงเส่าคังพูดโพล่งขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ช่วยขอร้องเขาให้ข้าสิ!”