ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1395 กังวล
ตอนที่ 1395 กังวล
บริเวณโดยรอบสี่ทิศพร้อมใจกันเงียบกริบในบัดดล
เจียงจื่อหยวนปากอ้าค้างน้อยๆ ริมฝีปากขาวซีดสั่นระริกด้วยไม่อยากจะเชื่อ ยามอยากจะพูดอันใดสักอย่างออกไปก็กลับพบว่าลำคอของตนแห้งผาก ในอกยิ่งรู้สึกแน่นหนักขึ้นเท่าทวี นางพูดอันใดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
ดวงหน้าของนางร้อนฉ่า
ประโยคนี้ของหรงซิวกลับทำให้นางรู้สึกอับอายขายหน้ามากกว่าฝ่ามือที่ตบลงมาเมื่อครู่ของเหลี่ยงเซียวเซียวเสียอีก!
รบกวน…การนอน…ของฉู่เยว่รึ?
หรือว่าชีวิตความเป็นความตายของนางยังสำคัญไม่สู้การนอนหลับอย่างเป็นสุขของคนผู้นั้นอย่างนั้นหรือ?
เจียงจื่อหยวนมิได้ถามคำถามนี้ออกไป ด้วยนางรู้ได้จากคำตอบที่ฉายชัดอยู่บนสีหน้าเย็นยะเยือกที่ใกล้หมดความอดทนอยู่รอมร่อของหรงซิวเรียบร้อยแล้ว
ดวงตาหงส์คู่นั้นที่จับจ้องนาง เย็นเยียบไร้ใจ ห่างไกลไม่ไยดี ไม่มีแม้กระทั่งไมตรีสักเสี้ยว!
เรี่ยวแรงบนตัวเจียงจื่อหยวนราวกับถูกสูบจนเหือดหายในชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียกจนทรุดลงไปกองกับพื้น
ทว่ามิมีผู้ใดเข้าไปช่วยพยุงนางแม้แต่คนเดียว
หิมะหนาวยะเยือกที่ทับถมกันบนพื้น ราวกับว่าความหนาวเสียดกำลังแทรกซึมเข้าสู่กายเนื้อ พาให้หนาวเหน็บเสียจนทั่วทั้งร่างนางสั่นสะท้าน
หรงซิวเบนสายตากลับไปแล้ว เขาอุ้มคนในอ้อมแขนพลางมุ่งหน้าเดินต่อ
ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนั่น ก็คือค่ายกลที่ใช้เคลื่อนย้ายกลับไป
สภาพนางในตอนนี้ย่ำแย่อย่างมาก ต้องรีบกลับสำนักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยามมองไปยังแผ่นหลังที่สะบั้นสัมพันธ์ต่อกันอย่างเย็นชา สองมือเจียงจื่อหยวนก็กำเข้าหากันแน่น ท้ายที่สุดก็เงยศีรษะขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอมระคนโกรธเกรี้ยว
“ฝ่าบาท พระองค์ทอดทิ้งเซียนสุ่ยหลิงได้ลงจริงหรือเพคะ!?”
เซียนสุ่ยหลิงที่เป็นผู้นำยี่สิบแปดตระกูลใต้ปกครอง มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงต่อพระราชวังเมฆาสวรรค์ นางไม่เชื่อว่าหรงซิวจะยอมรับความเสี่ยงนี้เพื่อฉู่เยว่เพียงผู้เดียว!
หรงซิวยืนตระหง่านอย่างมั่นคงอยู่บนค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาขยับแขนเล็กน้อยเพื่อให้คนในอ้อมอกเปลี่ยนท่าได้สบายยิ่งขึ้น จากนั้นถึงเหลือบสายตาขึ้นมามองเจียงจื่อหยวนแวบหนึ่ง
ในแววตานั้นทั้งเย็นเยียบยิ่ง และไร้เยื่อใยอย่างถึงที่สุด
มุมปากของเขาหยักยกขึ้นน้อยๆ อมยิ้มไว้สามส่วน เพียงแต่รอยยิ้มนั้นราวกับแฝงไว้ซึ่งความน่าเกรงขามที่ชวนให้เย็นวาบ
“ก่อนจะถึงตอนนั้น เจ้าก็คิดเอาไว้ก่อนเสียว่าจะบอกเรื่องของตัวเองกับบิดาเจ้าอย่างใด”
เจียงจื่อหยวนพลันเบิกตาโพลง!
ชั่วพริบตา ในใจรู้สึกราวกับมีบางอย่างพังทลายลง!
ใช่สิ!
เมื่อก่อนนางคือไข่มุกกลางฝ่ามือของบิดา เป็นบุคคลฝีมือโดดเด่นในเซียนสุ่ยหลิง แม้บิดาจะเข้าข้างนาง ก็ไม่มีใครกล้าพูดอันใดมากมาย
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
นางถูกผู้อาวุโสตันชิงทอดทิ้ง ยิ่งกว่านั้นไม่กี่อึดใจก็จะถูกขับออกจากสำนักหลิงเซียว ทั้งมิต้องพูดถึงปัญหาอีนุงตุงนังมากมายของเหลียงเซียวเซียวอีก!
ต่อให้ท่านพ่อรับได้ แล้วคนอื่นเล่า?
นางมิใช่อยู่ในสถานะอย่างเก่าแล้ว อีกทั้งยังไม่มีอภิสิทธิ์ทุกอย่างเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย!
ถึงเวลานั้น ทั่วทั้งเซียนสุ่ยหลิงจะลุกฮือท้าทายพระราชวังเมฆาสวรรค์เพื่อนางได้อย่างใดกัน!
ในจังหวะนั้นเองที่เจียงจื่อหยวนเข้าใจชัดเจนเต็มประดาว่าตัวเองไม่เหลือสิ่งใดแล้วจริงๆ!
การเดินทางมาบุพกาลชายแดนเหนือครานี้ทำให้นางสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด!
“ไปได้แล้ว”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคร้านจะสนใจนางอีก จึงหมุนกายพลางส่งเสียงเรียกให้ทุกคนทยอยตามกันเข้ามาในค่ายกลเคลื่อนย้าย
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกลับมิได้รีบร้อนเช่นนั้น เขาเดินผ่านกลุ่มคนไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงจื่อหยวน
เจียงจื่อหยวนราวกับรู้สึกได้จึงเงยศีรษะขึ้นมามองเขา สบเข้ากับสายตาของผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่มองดูเหมือนจะเป็นมิตร ทว่าความจริงแล้วแฝงแววเยาะเย้ยอยู่ในที
“เจียงจื่อหยวนเอ๋ย เจ้าฉลาดหลักแหลมมาแต่ไหนแต่ไร อาจารย์เจ้าเองก็เคยชื่นชมว่าเจ้าหัวดีอยู่หลายต่อหลายครั้ง น่าเสียดายที่เจ้ากลับไม่เข้าใจ บางครั้งคนฉลาดก็มักตกเป็นเหยื่อความฉลาดของตัวเอง ใช้ความคิดในเรื่องที่มิควรยุ่งมากเกินไป จะทำให้ตัวเอง…ประสบผลร้ายมากกว่าผลดีหนา!”
เจียงจื่อหยวนสะอื้นในลำคอ นางพลันพุ่งตัวไปด้านหน้า ทำท่าราวกับจะคว้าชายเสื้อคลุมของผู้อาวุโสฮวาเฟิง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกลับถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อหลบมือของนางโดยมิได้แสดงอารมณ์ใดออกมา
เจียงจื่อหยวนกระโจนเข้าหาความว่างเปล่า หิมะทับถมสาดกระจายเข้าหน้าของนาง ยิ่งทวีความอเนจอนาถมากกว่าเก่า
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ท่าน ท่านโปรดให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะนะเจ้าค่ะ!”
เจียงจื่อหยวนในตอนนี้ไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว นางต้องอ้อนวอนขอความเมตตาต่อไป มิว่าจะกู้ชื่อเสียงมาได้เล็กน้อยเท่าใดก็ดีทั้งนั้น!
“ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของศิษย์! ล้วนเป็นศิษย์ที่เลอะเลือนไปชั่วขณะ! ท่าน ครั้งนี้ท่านละเว้นข้าสักครั้งเถิดนะเจ้าคะ!”
เหตุใดนางถึงได้โง่เขลาปานนั้นหนอที่คิดใช้การข่มขู่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมาปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง!
เบื้องหลังผู้อาวุโสฮวาเฟิงยังมีสำนักหลิงเซียวทั้งสำนักคอยค้ำจุนหนุนหลังให้หนา!
แล้วตัวนางเล่ามีอันใด!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงทำท่าราวกับกำลังหัวเราะ ทว่าสุ้มเสียงที่ออกมากลับเรียบนิ่งยิ่งนัก
“น้ำที่หกแล้วยากจะเก็บคืน คำพูดที่พูดออกมาแล้ว ไหนเลยจะคืนคำได้เล่า?”
ทั่วทั้งกายของเจียงจื่อหยวนแข็งทื่อประหนึ่งถูกแช่แข็ง คำพูดที่เหลือพลันพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
นอกจากจะทำให้คนดูหัวร่อแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นใดอีก!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหลุบสายตามองนาง จากนั้นหันศีรษะไปมองผู้อาวุโสตันชิงแวบหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขามิได้หันมามองทางฝั่งนี้เลยแม้แต่แวบเดียว
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาผิดหวังในตัวเจียงจื่อหยวนอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ!
“เห็นแก่ที่เจ้าเองก็เป็นศิษย์อยู่ในสำนักมานานหลายปี…ข้าช่วยเจ้าส่งข่าวกลับไปเซียนสุ่ยหลิงได้หนา ให้พวกเขารีบส่งคนมารับเจ้าให้เร็วที่สุด อ้อ…นี่น่ะเรื่องเล็กน้อย เจ้ามิจำเป็นต้องขอบคุณหรอก”
ระหว่างที่พูด ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็หมุนกายจากไปพลางหัวเราะเสียงเริงร่า
สมองของเจียงจื่อหยวนถึงกับเลอะเลือนไปชั่วขณะ เหลือเพียงประโยคเดียวที่ยังคงวิ่งวนอยู่ในหัว
จบสิ้นแล้ว! ทุกอย่างจบสิ้นหมดแล้ว!
…
“ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าสรุปแล้วเจียงจื่อหยวนทำอันใดลงไปกันแน่ ถึงได้ถูกชิงชังเช่นนี้”
หลัวซือซือก้าวขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้าย หางตาก็มองเห็นเจียงจื่อหยวนที่ร่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่บนพื้นหิมะด้วยสีหน้าเปี่ยมแววสิ้นหวัง พลางพึมพำเสียงเบาอย่างอดไม่ได้
“มิว่าจะเป็นอันใด อย่างใดซะก็คงไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว”
หลัวเยี่ยนหลินที่ยืนอยู่ข้างกันหัวเราะ
“ผู้อาวุโสตันชิงดูแลนางเหมือนลูกในไส้ คอยรักทะนุถนอมแลประคบประหงมนางมิขาด ถึงกับบีบให้เขาสะบั้นสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ได้…โฮ่! ก็นับว่าเจียงจื่อหยวนผู้นั้นมีความสามารถอยู่เหมือนกัน!”
หลัวซือซือผงกศีรษะหงึกหงัก
ดูจากปฏิกิริยาของผู้อาวุโสในสำนักคนอื่นๆ แล้ว หลังจากเจียงจื่อหยวนกลับไป คงไม่มีทางได้อยู่ในสำนักต่อไปอีกแล้ว
“มีของดีกับตัวแต่ไม่รู้จักใช้ ก็เป็นแบบนี้นี่ละ”
ยามคิดถึงว่าครั้งหนึ่งเจียงจื่อหยวนเคยทะนงตนยิ่งใหญ่เพียงไร
ทว่ามาบัดนี้ กลับถูกคนทอดทิ้งเสียเช่นนี้…
วันคืนในอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่อจากนี้ เกรงว่าจะหาที่ที่เหมาะสมให้กับนางได้ยากแล้ว
“มิเข้าใจเลยจริงๆ ว่านางเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างใด”
แม้ว่าหลัวซือซือจะมิได้คุ้นเคยกับนางเท่าไรนัก แต่เมื่อคิดถึงความต่างระหว่างจุดตกต่ำกับจุดสูงสุดของนางแล้ว ในใจเองก็ออกจะรู้สึกเศร้าสร้อยอยู่ทีเดียว
“จะคิดมากไปเหตุใดกัน”
หลัวเยี่ยนหลินเคาะหน้าผากนางเบาๆ
“นางจะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดเกับพวกเรา คอยดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว”
ในฐานะผู้สืบทอดว่าที่ตำแหน่งประมุขตระกูลหลัวอันโดดเด่นที่ดูจะมีความเป็นไปได้สูง หลัวเยี่ยนหลินจึงเป็นคนทะนงตนมาโดยตลอด
เขาไม่เคยเห็นคนอย่างเจียงจื่อหยวนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย มองว่านางเป็นแค่ตัวตลกตัวหนึ่งก็เท่านั้น
หลัวซือซือขานรับเป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนจะเล่นพันนิ้วมือกันพลางเบนสายตามองไปยังอีกฝั่งอย่างอดมิได้
แม้จะมีผู้คนคลาคล่ำมากมาย นางก็ยังคงสังเกตเห็นหรงซิวได้อย่างเคย
เขาสูงมาก เวลายืนรวมกับฝูงชนก็มักโดดเด่นเป็นสง่าเหมือนกระเรียนในฝูงไก่ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเสกสรรปั้นแต่งดวงหน้าชวนลุ่มหลงและใสกระจ่างได้ประณีตนัก ไม่ว่าจะยามใดดวงหน้านี้ก็ราวกับรวบรวมเอาประกายงดงามหยดย้อยไว้ด้วยกัน ทำเอาทุกอย่างที่อยู่โดยรอบหมองลงไปในบัดดล
ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันนี้ไม่นับว่าเล็กนัก แต่ยามพวกเขาที่มีจำนวนมากขนาดนี้ยืนออรวมกัน สุดท้ายแล้วก็ยังรู้สึกเบียดกันอยู่บ้าง
ทว่ารอบกายหรงซิวราวกับมีฉากกั้นไร้รูปร่างชั้นหนึ่งก็มิปาน ทำให้คนมิสามารถเข้าใกล้ได้โดยง่าย
ช่างเย็นชา สูงส่ง และหยิ่งยโส
จนเหมือนกับว่าหากเข้าไปยืนใกล้อีกสักหน่อย ก็จะทำให้เขาแปดเปื้อนอย่างใดอย่างนั้น
ฉู่เยว่ถูกเขาอุ้มไว้ในอ้อมแขน จึงมองเห็นตัวได้ไม่ชัดนัก
หลัวซือซือขบริมฝีปากของตน
“มิรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฉู่เยว่จะเป็นอย่างใดบ้าง…”