ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1424 สมคบคิด
ตอนที่ 1424 สมคบคิด
“ลุกขึ้นมาเถอะ”
หรงซิววางหมากลงแล้วเงยหน้ามองหน้าเขา
“เอาของมาด้วยหรือไม่?”
เยี่ยนชิงลุกขึ้นยืน แล้วรีบพูดว่า
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าได้เตรียมเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตามคำสั่งของท่าน”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบแหวนเฉียนคุนออกมาด้วยมือทั้งสองข้าง
“ท่านวางใจเถอะ วัสดุในการจัดทำเป็นไปตามที่ท่านเลือกไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด”
หรงซิวยกนิ้วชี้ขึ้นมาเบาๆ แหวนเฉียนคุนวงนั้นก็ลอยมาอยู่กลางฝ่ามือของเขาแล้ว
เขาใช้เทวจิตตรวจสอบอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
รอนางออกมาจากเขาเฝิงหมินก่อน เสื้อผ้าเหล่านี้นางก็สามารถใส่ได้แล้ว
แต่ว่า…
“เยี่ยนชิงเจ้ามาช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้หนึ่งวัน เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ทำให้เจ้าล่าช้า”
หรงซิวเก็บแหวนลง แล้วถามขึ้นเสียงเรียบ
เยี่ยนชิงลมหายใจแล้วรวบรวมสมาธิ สองมือประสาน
“ฝ่าบาท ผู้น้อยสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของทางด้านเซียนสุ่ยหลิง จึงส่งคนไปตรวจสอบโดยเฉพาะ เพื่อรอพวกเขากลับมา ดังนั้นจึงทำให้มาสายพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาหงส์ของหรงซิวมีประกายแสงพาดผ่าน
“พูดมาสิ”
เยี่ยนชิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองหรงซิว ก่อนจะพูดอย่างช้าๆ ว่า
“ผู้น้อยพบว่า ช่วงก่อนหน้านี้เจียงเห่อเทียนแห่งเซียนสุ่ยหลิงเหมือนว่าจะติดต่อกับคนภายนอกอยู่บ่อยครั้ง”
“คนภายนอก?”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะ จากการตรวจสอบแล้วบุคคลภายนอกผู้นั้น เหมือนว่า…”
เยี่ยนชิงลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“เหมือนว่าจะเป็นถานไถเฉิน… แห่งราชวงศ์ไท่อวี่!”
ถานไถเฉิน?
ชื่อนี้หรงซิวเคยได้ยินมาก่อน
เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา
“เป็นเขานี่เอง”
แม้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่น้ำเสียงกลับเย็นชา และแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก
เยี่ยนชิงเองก็ยังจดจำถานไถเฉินผู้นี้ได้
ในตอนแรกจวินจิ่วชิงได้วางแผนให้ราชวงศ์หลายราชวงศ์มารวมตัวกันที่เป่ยหมิง และตอนนั้นรวมถึงราชวงศ์เทียนลิ่งด้วย ซึ่งถานไถเฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น
อีกทั้งในตอนนั้นเขาก็ยังมีความบาดหมางกับฉู่หลิวเยว่
เมื่อสืบเบาะแสไปบางส่วนก็พบว่าถานไถรั่วหลี ธิดาสุดที่รักของเขาตายเพราะน้ำมือของฉู่หลิวเยว่
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่มายืนยันได้ แต่ถานไถรั่วหลีเป็นศัตรูกับฉู่หลิวเยว่อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงคิดไปเช่นนี้
ความคิดอยากแก้แค้นของเขาไม่ได้มีขึ้นมาเพียงแค่วันสองวัน
“ไม่รู้ว่าเขาติดต่อเซียนสุ่ยหลิงได้อย่างใด แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาส่งข่าวให้กันบ่อยมาก บางทีอาจจะกำลังปรึกษาหารือกันอยู่”
เยี่ยนชิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่เย็นชาเหมือนกับภูเขาน้ำแข็งปรากฏจิตสังหารขึ้นมาหลายส่วน
“ฝ่าบาท ท่านจะให้ผู้น้อย…”
เขาทำภาษากายเป็นลักษณะ “ฆ่า” ให้หรงซิวดู
หรงซิวยกฝ่ามือขึ้น คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย เขามีท่าทางสนใจอยู่หลายส่วน
“ไม่รีบ ข้าอยากดูก่อนว่าเซียนสุ่ยหลิงวางแผนอันใดไว้อยู่กันแน่?”
ความจริงแล้วหากคิดให้ละเอียด การที่ถานไถเฉินสามารถหาเซียนสุ่ยหลิงพบ นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
ในวันที่เขาประกาศตัวตนของฉู่หลิวเยว่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ เขาใช้ชื่อว่า “ซั่งกวนเยว่” ในการประกาศ
หากคนที่สนใจจะต้องไปตามหาอย่างแน่นอน และสามารถพบว่านางมาจากราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างไม่ยากเย็นนัก
ถานไถเฉินกำลังคิดอันใดอยู่ เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องคาดเดา
แต่เซียนสุ่ยหลิงไปให้ความสนิทสนมกับเขาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจะต้องไม่ใช่เจตนาที่บริสุทธิ์
ทั้งสองฝ่ายมาอยู่ด้วยกัน…
“ถานไถเฉินมีเจตนาสังหารพระชายา คนของเซียนสุ่ยหลิงไม่มีทางไม่รู้ แต่เขาก็ยังให้ความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นเดิม ดูเหมือน…”
เยี่ยนชิงขมวดคิ้วขึ้น สีหน้าจริงจัง
ตระกูลเจียงบ้าไปแล้วจริงๆ
หรือว่าพวกเขาวางแผนจะทำอันใดสักอย่างกับพระชายาจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
ควรจะรู้ก่อนว่าตอนนี้พระชายาเป็นกษัตริย์ พวกเขาเป็นแค่ขุนนาง!
หากทำเช่นนี้ ไม่ใช่ความผิดทั่วไป! แต่มันคือการก่อกบฏ!
แต่อย่างใดก็ตามเหมือนหรงซิวไม่ได้โกรธ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ไม่มีถานไถเฉิน ก็ยังมีคนอื่น”
หลายปีมานี้ เซียนสุ่ยหลิงเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดภายในยี่สิบแปดเผ่า
กอปรกับความลำเอียงของทางประมุข ทำให้เซียนสุ่ยหลิงลืมตัวตนของตนเอง และคิดว่ามีฐานะเทียบเท่ากับพระราชวังเมฆาสวรรค์
เดิมทีแผนการทุกอย่างได้วางเอาไว้อย่างดี แต่ในตอนนี้ตำแหน่งพระชายาที่หมายหมั้นมาเป็นเวลานาน แต่พวกเขากลับไม่สามารถครอบครองได้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงโกรธอย่างมาก
หมาจนตรอก ไม่มีอันใดที่มันทำไม่ได้
ได้ยินหรงซิวพูดเช่นนี้ เยี่ยนชิงจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“แล้วฝ่าบาทมีแผนอย่างใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ตอนที่ผู้น้อยออกมานั้น เจียงจื่อหยวนมาอยู่ที่เขาว่านจงแล้ว”
เยี่ยนชิงไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกถึงปล่อยเจียงจื่อหยวนเข้ามาในพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่เขาคิดว่ามันจะต้องมีเหตุผลพิเศษอย่างแน่นอน
และเหตุผลนี้ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เจียงจื่อหยวนก็ยังกล้าลี้ภัยมายังพระราชวังเมฆาสวรรค์
“ให้นางอยู่ตรงนั้นไปก็พอแล้ว”
หรงซิวหยิบหมากเม็ดหนึ่งออกมาจากในถ้วย เขาถูมันอยู่ในมือครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“ประมุขจะออกจากด่านฝึกแล้ว หากออกมาแล้วสามารถเห็นนางเป็นคนแรก เขาจะต้องยินดีมากอย่างแน่นอน”
เยี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ แต่กลับเห็นว่าหรงซิวมีท่าทีสงบมาก
“ท่านหมายความว่า…”
ในตอนแรกท่านประมุขไม่ได้…
“ปึก”
หมากถูกวางลงมาแล้ว พอวางลงบนแผ่นกระดาน ก็มีเสียงที่กระจ่างใสดังขึ้น
“ส่งคนไปจับตามองเจียงจื่อหยวน นอกจากนี้ ก่อนที่ข้าจะกลับไปที่ตำหนัก ไม่ให้ใครไปที่ตำหนักสักการะเทพเด็ดขาด”
ขณะที่พูดหรงซิวก็โบกมือขึ้นเบาๆ
กระดาษแผ่นบางแผ่นหนึ่ง ลอยมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยนชิง
เขารีบรับไว้ด้วยสองมือ
กระดาษแผ่นนั้นว่างเปล่าไม่มีการขีดเขียนใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ว่ามันปกคลุมด้วยลำแสงสีม่วงจางๆ แรงกดดันเข้มข้น ทำให้คนรู้จักตกใจอย่างมาก!
“หากมีใครกำเริบเสิบสาน ก็เอาสารที่เขียนด้วยลายมือของข้าไป ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ห้ามเข้าทั้งหมด! ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม!”
หัวใจของเยี่ยนชิงสั่นไหว
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยนชิงก็ออกจากเขาจิ่วเหิง
เขาไม่ได้อยู่ที่สำนักต่อ และรีบออกจากม่านพลังในทันที หลังจากกล่าวทักทายผู้อาวุโสที่รับผิดชอบดูแลม่านพลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนคิดว่าเขามาหาหรงซิวเพื่อรายงานสถานการณ์พระราชวังเมฆาสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอันใดมาก
คนบางกลุ่มคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค ก็ลืมเรื่องเหล่านี้ออกจากสมองแล้ว
…
เขาเฝิงหมิน
ภายในเจดีย์ ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบงัน
หลังจากที่ผสานพลังปราณศักดิ์สิทธิ์แล้ว ลมปราณของนางก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก นางก็เข้าใกล้อุปสรรคที่มองไม่เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
นางสามารถสัมผัสได้ว่าเพียงนางยกเท้าขึ้น นางก็จะก้าวข้ามธรณีประตูที่สูงกว่านั้นได้แล้ว!
ไข่มุกธาราเม็ดนั้นที่อยู่ในเถียนตันยังคงเงียบสงบเหมือนดั่งตอนแรก
พลังที่อยู่รอบข้างมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับคลื่นที่เข้ามาโอบล้อมไว้
เหมือนว่ารอเวลาที่เหมาะสมจะได้พลิกคว่ำทุกสิ่งอย่าง!
ผนึกที่อยู่บนเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำนั้น มีการกร่อนลงอย่างต่อเนื่อง แล้วผนึกค่อยๆ คลายออก
ลำแสงลอดผ่านจากตรงกลาง
นั่นเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างมาก และยังคงสะสมมาอย่างต่อเนื่อง
เหมือนว่ามันจะแตกออกเมื่อไรก็ได้!
ที่ชั้นบนสุดของเจดีย์ เมิ้งเหล่ากลับมานั่งลงที่เดิมอีกครั้ง
แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมจ้องมองบานประตูที่อยู่ตรงหน้าตาเขม็ง
ไม่รู้ว่าเหตุใดเขากลับรู้สึกว่าประตูบานนี้ เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เขาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินตรงไปที่ประตูบานนั้น พร้อมยื่นมือไปสัมผัสที่บานประตูเบาๆ
บานประตูนั้นเย็นเล็กน้อย
นอกจากเรื่องนี้แล้ว มันก็ดูสงบไร้ความเคลื่อนไหว
เขาอาจจะคิดมากไปละมั้ง…
เมิ้งเหล่าเลิกคิด แล้วส่ายหัวพร้อมเดินกลับไป ไม่คิดเรื่องนี้อีก