ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1429 คนรู้จักเก่า ตอนที่ 1430 ยังอยู่ดี
ตอนที่ 1429 คนรู้จักเก่า
สำนักหลิงเซียวแข็งแกร่งอย่างมาก แต่พวกตระกูลสูงส่งก็ไม่ใช่สัตว์กินพืช!
หากพวกเขาร่วมมือกันจริงๆ สำนักหลิงเซียวอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา!
ในเวลานี้ คนทั่วไปจะระมัดระวังอย่างมาก!
แต่ว่าแม่นางน้อยคนหนึ่งที่มาจากภายนอกดูเหมือนคนไม่มีคนสนับสนุน ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว จะเดินทางไปที่นั่นอย่างสุดหัวใจ!
“อย่างนี้นี่เอง…”
มู่หงอวี่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
มิน่าล่ะหลังจากที่นางมาแล้ว กลับรู้สึกว่าบรรยากาศของที่แห่งนี้แปลกไป
ยังมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย?
แต่ว่ามันไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนางได้
“ขอบคุณพี่ใหญ่มาก”
นางยิ้มออกมาอย่างสดใส และโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างจริงใจ
อีกฝ่ายกล่าวเตือนด้วยความปรารถนาดี อย่างใดก็ต้องกล่าวขอบคุณอยู่แล้ว
“แต่ข้ามีสหายคนหนึ่ง เขาก็อยู่ที่สำนักหลิงเซียว ดังนั้นข้าจึงต้องไปหานาง!”
“เอ๋ เจ้าเด็กคนนี้…”
เมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นว่าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ เดิมทีเขาอยากจะพูดขึ้นอีกสักสองประโยค แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับดวงอาทิตย์ของแม่นางที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงพูดคำพูดที่เหลือไม่ออก
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา
“หึ แม่นางน้อย สหายที่เจ้ารีบร้อนอยากจะเจอนั้นเป็นชายหนุ่มใช่หรือไม่?”
เดิมทีมู่หงอวี่อยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่เมื่อนึกไปแล้ว ผู้อาวุโสลำดับห้าเคยพูดกับนางไว้ว่า ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ภายในสำนักหลิงเซียวมีตัวตนใหม่ ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
“ใช่แล้ว!”
อีกฝ่ายจึงหัวเราะขึ้นมาและไม่ได้ซักถามต่อ
“เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถอะ! หากสายกว่านี้จะไม่ทันเข้าสอบ แล้วจะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้!”
มู่หงอวี่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้แนะ
…
ผู้มาปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้คือ ผู้อาวุโสเหวินซี
เขายังคงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิม พิงพนักเก้าอี้อย่างเบื่อหน่าย
ในเวลานี้ไม่ค่อยมีใครมาเข้าสอบกันนัก โดยพื้นฐานแล้ว เมื่อมาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอันใดให้ทำ ดังนั้นจึงน่าเบื่ออย่างมาก
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า
“อื้อ รออีกครึ่งชั่วยามข้าก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว…”
ไม่มีคนมาเข้าสอบ ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เร่งร้อน
ในความเป็นจริงสำนักหลิงเซียวก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก
สามารถยืนหยัดภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่มาได้เป็นหมื่นปี ผ่านลมผ่านพายุมาก็ไม่ล้ม สำนักหลิงเซียวมีรากฐานที่แข็งแกร่งและมั่นใจในตนเองมาก
เพียงแค่ช่วงเวลานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาแน่นอน
แต่ในตอนนั้นเองมีสาวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา
“สวัสดีเจ้าค่ะผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าสถานที่สอบเข้าของสำนักหลิงเซียวใช่ที่นี่หรือไม่?”
น้ำเสียงของนางไพเราะ ทำให้คนที่ฟังรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
ผู้อาวุโสเหวินซีเงยหน้าขึ้นมอง
เป็นสาวน้อยที่สดใสร่าเริงคนหนึ่ง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
“ใช่แล้ว เจ้าต้องการสอบเข้าสำนักหลิงเซียวหรือ?”
มู่หงอวี่พยักหน้าอย่างแรง
ผู้อาวุโสเหวินซีมีสายตาที่เฉียบแหลม แค่มองเพียงครู่หนึ่งก็รู้ได้แล้วว่ามู่หงอวี่ไม่ได้มาจากตระกูลอันดับหนึ่ง
แม้กระทั่งอันดับสามก็ไม่ใช่ด้วยซ้ำ
แต่ว่าก็เป็นคนใจกว้าง มีมารยาทและได้รับการสั่งสอนไม่ได้ต่างจากลูกหลานของตระกูลเหล่านั้นเลย
แม่นางน้อยคนหนึ่ง มาที่นี่ด้วยตัวคนเดียว นับว่าใจกล้าไม่น้อย
ผู้อาวุโสเหวินซีมีความรู้สึกที่ดีต่อนาง จึงยืดตัวนั่งหลังตรง
“เจ้าอยากทดสอบด้านใด?”
มู่หงอวี่พูด
“การต่อสู้!”
ร่างกายของนางมีความพิเศษ หากจะให้พูดละเอียดแล้ว นางไม่สามารถนับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรด้านค่ายกลและเซียนหมอ
แต่ถ้าให้เลือกสิ่งหนึ่ง เช่นนั้นก็นับว่าอยู่ในกลุ่มจอมยุทธ์
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้นางก็เป็นจอมยุทธ์ระดับเก้า
ผู้อาวุโสเหวินซีพยักหน้า
“เอาล่ะ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังอายุไม่เยอะ ตราบใดเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้า ก็สามารถเข้าสำนักได้”
มู่หงอวี่เดินเข้าไป จากนั้นก็วางมือของตนเองบนหยกดำแผ่นหนึ่ง
ยังไม่ทันได้เริ่มการกระทำใดๆ นางก็คิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักฉู่เยว่หรือไม่?”
ตอนที่ 1430 ยังอยู่ดี
“เจ้ารู้จักฉู่เยว่หรือ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา
ฉู่เยว่เข้ามาที่สำนักได้หลายเดือนแล้ว แต่ประวัติยังคงเป็นความลับ ตอนนี้พวกเขาทุกคนรู้เพียงว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหรงซิวเท่านั้น อีกทั้งเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นน้องชาย แต่นี่ไม่มีหลักฐานยืนยัน เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น
แต่กลับมีคนรู้จักของฉู่เยว่ปรากฏขึ้นมาอย่างหาได้ยากอีกหนึ่งคน
“ข้ากับเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน!”
มู่หงอวี่ยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งประกาย
“อย่างนี้นี่เอง เป็นเรื่องที่บังเอิญมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสอบเข้าสำนัก ข้าก็เป็นคนทดสอบเขา”
ผู้อาวุโสเหวินซีลูบเครา พร้อมพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
มู่หงอวี่ดวงตาเปล่งประกาย
“จริงหรือ?”
มิน่าล่ะตอนที่อีกฝ่ายพูดถึง “ฉู่เยว่” น้ำเสียงดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ที่แท้ก็มีโชคชะตาเช่นนี้อยู่!
“มา เริ่มเลยเถอะ! หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น เจ้าก็สามารถเข้าสำนักไปเจอกับเขาได้!”
เดิมทีผู้อาวุโสเหวินซีก็มีความประทับใจที่ดีต่อมู่หงอวี่ ตอนนี้เมื่อได้ยินมาว่านางเป็นเพื่อนสนิทของฉู่เยว่ ภายในใจจึงมีความสนิทสนมเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“อื้อ!”
มู่หงอวี่พยักหน้า นางวางมือบนหยกดำทดสอบแผ่นนั้นทันที
นางกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ ท่าทางจริงจัง โคจรลมปราณของตนเองอย่างระมัดระวัง และถ่ายเทพลังไปด้านใน!
พรึ่บ!
ตัวอักษรแถวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น!
“อายุสิบเจ็ดปี จอมยุทธ์ระดับเก้าขั้นต้น!”
ผู้อาวุโสเหวินซีเบิกตากว้างขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมจ้องไปที่ตัวอักษรแถวนั้นอยู่สักพัก
จนกระทั่งตัวอักษรเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไป เขาถึงได้กะพริบตา ก่อนจะหันไปมองทางมู่หงอวี่ ใบหน้าปกปิดความชื่นชมไม่มิด
“เจ้า… เจ้าเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี แต่กลับเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้าแล้วหรือ?”
เขารู้ว่าแม่นางน้อยคนนี้น่าจะอายุไม่เยอะ แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น
อ่า จริงสิ ตอนนี้ฉู่เยว่ก็น่าจะเพิ่งสิบเจ็ดเท่านั้น
พรสวรรค์เช่นนี้ ต่อให้เทียบทั้งสำนักหลิงเซียวนางก็ถือว่าโดดเด่นอย่างมาก!
หรือว่าสหายที่อยู่ข้างกายของฉู่เยว่ก็เก่งกาจเช่นนี้หมด?
มู่หงอวี่ถอนมือกลับมา พร้อมหันมองผู้อาวุโสเหวินซีด้วยสายตารอคอย
“เช่นนั้น… ผู้อาวุโส ข้าสอบผ่านหรือไม่?”
“ฮ่าๆ! ผ่าน! ผ่านแน่นอน!”
ผู้อาวุโสเหวินซีชะงักไปเล็กน้อย แล้วอดหัวเราะขึ้นมาเสียงดังไม่ได้
หากเมื่อครู่นี้ไม่ผ่าน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องไล่ศิษย์หลายคนในสำนักหลิงเซียวออกไปแล้ว!
ผู้อาวุโสเหวินซียิ้มออกมา พร้อมถอนหายใจออกมาและคิดว่าตนเองนั้นโชคดีไม่เบา
ก่อนหน้านี้มีฉู่เยว่ ตอนนี้ก็มีมู่หงอวี่เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว
ช่างเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีและหายากอย่างยิ่ง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ช่วงนี้สำนักมีเรื่องปั่นป่วนวุ่นวาย ครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาสมัครสอบเข้าสำนักหลิงเซียวเลย
ยากมากที่จะผ่านมาสักคน แต่คนที่มานั้นกลับยอดเยี่ยมยิ่ง!
หึ
สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสเหวินซีที่เคยหดหู่เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อารมณ์ดีขึ้นมามากเลยทีเดียว
เขาหยิบตราหยกดำออกมา หัวใจของเขาเต้นแรง ลำแสงจางๆ สว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ส่งไปให้มู่หงอวี่
“นี่คือบัตรผ่านที่ใช้เข้าออกสำนักของเจ้า นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์แสดงตัวตนของเจ้าอีกด้วย”
ง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ?
มู่หงอวี่ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พร้อมรับตราหยกสีดำมาด้วยสองมือ แล้วพลิกตราหยกอันนั้นไปมา แล้วรู้สึกหวงแหนมันอย่างยิ่ง
นางรู้ว่าตนเองสามารถเข้าไปที่สำนักหลิงเซียวได้แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีความสุขขนาดนี้!
เมื่อสัมผัสกับตราหยกสีดำที่เย็นเล็กน้อย ในใจของนางยังรู้สึกว่านี่เป็นความฝันอยู่เลย
…นางสามารถเข้าสู่สำนักอันดับหนึ่งของอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ?
ความจริงแล้ว เพราะว่านางสนิทกับฉู่หลิวเยว่ มู่หงอวี่จึงเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับฉู่หลิวเยว่อยู่ตลอดโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่เรียกได้ว่าโรคจิต อีกทั้งเมื่ออยู่ด้วยกันนานเข้า มู่หงอวี่ก็เลยโรคจิตไปด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ร่างกายของนางที่ปรากฏขึ้นมาในรอบพันปี เดิมทีก็ไม่สามารถเทียบกับคนธรรมดาได้อยู่แล้ว
ดังนั้นแม้ว่านางจะโดดเด่นมากแค่ไหน แทบจะไม่เคยทำความรู้จักตนเองอย่างแท้จริงเลย
สิ่งนี้ทำให้นางเข้าใจผิดถึงระดับของตนเองอยู่เสมอ
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก!”
มู่หงอวี่ลูบตราหยกสีดำอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็เก็บไปอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสเหวินซีหัวเราะขึ้นมาพร้อมพูดว่า
“เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน คืนนี้ค่อยกลับไปที่สำนักพร้อมกับข้า”
กว่าจะรับศิษย์มาได้ก็ไม่ง่ายดายเลย อีกทั้งยังมีพรสวรรค์และศักยภาพที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงต้องพากลับสำนักด้วยตนเอง
มู่หงอวี่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นางเดินไปที่ด้านข้างสองก้าว ตอนที่ผู้อาวุโสเหวินซีกำลังจะนั่งลงที่เดิม ทันใดนั้นก็มีคำถามถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“จริงสิ ผู้อาวุโส ช่วงนี้ฉู่เยว่สบายดีหรือไม่?”
รอยยิ้มของผู้อาวุโสเหวินซีแข็งค้าง
“ก็… ก็ดี… หลังจากเจ้าเข้าสำนักไป เจ้าก็จะรู้เอง”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา มู่หงอวี่ก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ท่าทางเช่นนี้ เหตุใดดูเหมือนนางจะไม่ค่อยสบายดีเลย…
“หรือว่าฉู่เยว่… ก่อเรื่องอีกแล้วหรือเจ้าคะ?”
มู่หงอวี่ถามหยั่งเชิงขึ้น
จากความเข้าใจของนางที่มีต่อฉู่หลิวเยว่ น่าจะเป็นความเป็นไปได้มากที่สุด
อีกแล้ว…
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เจ้าเด็กคนนี้ก็มีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว!
ความจริงแล้วสิ่งที่มู่หงอวี่ถามเป็นเรื่องจริง
เพียงแต่ว่า… เรื่องที่นางก่อนั้นมันใหญ่กว่าที่คิดเสียอีก!
ผู้อาวุโสเหวินซีถอนหายใจออกมาด้วยความสับสนเล็กน้อย
“ช่วงนี้ภายในสำนักมีเรื่องเกิดขึ้นไม่น้อย เจ้าก็คงได้ฟังมาบ้างแล้วสินะ?”
มู่หงอวี่พยักหน้า
“ฉู่เยว่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ว่า… สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนภายในหนึ่งถึงสองประโยค รอจนเจ้าไปถึงสำนักแล้วถามเขาด้วยตนเองดีกว่า!”
มู่หงอวี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสับสนอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่นางสังเกตแล้ว สถานการณ์ไม่ปกติเลยจริงๆ
ความตื่นเต้นที่มีแต่เดิมสงบลงไปเล็กน้อย
นางตอบรับหนึ่งคำและไม่ได้ถามอันใดต่อ
…
สำนักหลิงเซียว เขาเฝิงหมิน
ตอนที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมาถึงที่นี่ ความวุ่นวายของเขาเฝิงหมินก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว และดูไม่ได้แตกต่างจากเดิม
แต่คิ้วของเขาก็ยังขมวดแน่นอยู่
“เมิ้งเหล่า”
เขาประสานหมัดขึ้น ทำความเคารพไปทางเจดีย์อย่างมีมารยาท
แม้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะกุมอำนาจทั้งหมด แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องให้ความเคารพกับอีกฝ่ายอย่างมาก
เมิ้งเหล่านั้นอาวุโสกว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไม่น้อยเลย
หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา
“ปั๋วเหยี่ยน เจ้ามาที่นี่ในครั้งนี้ มีอันใดหรือ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนถามขึ้นมาอย่างลังเล
“ก่อนหน้านี้ข้าสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขาเฝิงหมิน ไม่ทราบว่า… มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
หากเป็นสถานที่อื่นก็แล้วไปเถอะ แต่ที่นี่คือเขาเฝิงหมินเชียวนะ!
มีเมิ้งเหล่าเป็นคนดูแล ความจริงแล้วความเคลื่อนไหวดังกล่าว ไม่ทำให้เขาตกใจได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังวางงานในมือลง แล้วรีบตรงมาที่นี่ทันที
น้ำเสียงของเมิ้งเหล่ายังคงราบเรียบเช่นเดิม
“เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกังวล”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว…”
“ที่แห่งนี้ไม่มีอันใดแล้ว เจ้าไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ” เมิ้งเหล่าพูดขึ้นเสียงเรียบ
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป ทันใดนั้นเขาก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไป
ในแววตาของเขามีความลังเลอยู่หลายส่วน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลดเสียงลง แล้วถามขึ้นว่า
“เมิ้งเหล่า ของที่นังหนูคนนั้นทิ้งเอาไว้ ยังอยู่ดีหรือไม่?”