ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1432 คล้ายคลึง
ตอนที่ 1432 คล้ายคลึง
หางตาของผู้อาวุโสเหวินซีกระตุกไป
โอ้!
เด็กคนนี้เหตุใดพูดตรงขนาดนี้ล่ะ?
เขาคิดเรื่องนี้อยู่ตั้งนาน แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไปเลย
“เขาเฝิงหมิน? ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่แบบใดกัน?”
มู่หงอวี่มีใบหน้าสับสน
นางเพิ่งมาถึงที่สำนักเรียน นางจึงไม่รู้ว่าเขาเฝิงหมินเป็นสถานที่แบบใด?
แต่ในเมื่อพูดก็พูดไปแล้ว…
เช่นนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า
ผู้อาวุโสเหวินซีเกลี้ยกล่อมตนเองอยู่หลายประโยค จากนั้นก็พูดอธิบายขึ้นมาว่า
“เรื่องนี้คงต้องไล่กันไปตั้งแต่แรก ตั้งแต่ตอนที่ทุกคนไปบุพกาลชายแดนเหนือด้วยกัน…”
…
ผู้อาวุโสเหวินซีใช้เวลาประมาณครึ่งเค่อในการอธิบายสาเหตุและเรื่องราวทั้งหมดให้กับมู่หงอวี่ฟัง
ความจริงแล้วข่าวคราวของเรื่องเหล่านี้ก็มีแพร่กระจายไปด้านนอกบ้างแล้ว จะพูดออกไปก็ไม่เป็นไร
เขาเพียงเห็นว่ามู่หงอวี่ดูเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เสียเท่าไร ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างใด
แต่หากคิดให้ละเอียดแล้ว ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องพูด ถ้าเช่นนั้นให้นางเข้าใจเร็วหน่อยจะดีกว่า
“…ก็น่าจะประมาณนี้ ในช่วงเวลานี้ ฉู่เยว่จะถูกขังอยู่ที่เขาเฝิงหมิน ส่วนจะได้ออกมาเมื่อไรนั้น ปั๋วเหยี่ยนยังไม่ได้พูด ดังนั้นจึงยังไม่แน่นอน”
มู่หงอวี่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย นางต้องใช้เวลาสักพักถึงจะแปลข้อมูลเหล่านี้ได้
หลังจากที่นางดึงสติกลับมาได้แล้ว นางจึงรีบถามขึ้นว่า
“ตอนนี้ร่างกายของฉู่เยว่เป็นอย่างใดบ้าง?”
ผู้อาวุโสเหวินซีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย หลังจากที่เขาฟื้นแล้ว ถึงได้พาเขาไปที่เขาเฝิงหมิน เขาแทบจะหายดีเป็นปกติ ไม่มีทางเป็นอันใดแน่นอน”
มู่หงอวี่ก็ยังไม่วางใจ
“แต่เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่า เขาเฝิงหมินแห่งนั้น อันตรายมากไม่ใช่หรือ? นาง…”
“เรื่องนี้… ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นจะต้องกังวลมากเกินไป ก่อนหน้านี้เขาเคยไปที่เขาเฝิงหมินมาแล้วสองครั้ง อาจว่าจะเป็นสถานที่ที่ดี…”
ผู้อาวุโสเหวินซีค่อนข้างที่จะเปิดกว้างในเรื่องนี้
หลังจากเห็นความสามารถในการก่อเรื่องของเด็กหนุ่ม เขาก็รู้สึกว่าไม่ควรจะต้องกังวลอันใดไปมากกว่านี้แล้ว
ในสถานการณ์อย่างบุพกาลชายแดนเหนือ เขายังสามารถคว้าโอกาสและเลื่อนขั้นจากจอมยุทธ์ระดับแปดสู่ระดับเก้าได้ คนเช่นนี้ยังจะมีอันใดต้องกังวลอีกหรือ?
มู่หงอวี่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ก็จริง
หลิวเยว่เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ อีกทั้งนี่เป็นเพียงการลงโทษของสำนัก จึงน่าจะไม่มีปัญหาอันใด
“ถ้าเช่นนั้นในช่วงนี้ข้าก็จะเตรียมตัวฝึกซ้อมให้ดี เพื่อรอนางออกมา!”
มู่หงอวี่รีบเปลี่ยนความคิดและท่าทางของตนเองอย่างรวดเร็ว พร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
หลัวซือซือเห็นรอยยิ้มที่สดใสของนางแล้ว จึงถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“หงอวี่ เจ้า… เจ้าไม่กังวลเลยจริงๆ หรือ?”
ในช่วงเวลาแบบนี้ ความจริงแล้วนางนอนหลับไม่ลงเลย ในสมองมักจะคิดถึงฉู่เยว่ที่มีเลือดท่วมร่างกาย
กอปรกับด้านนอกยังมีคนจำนวนมากที่คอยหาเรื่องเขา…
นี่จึงทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง
แต่เหมือนว่ามู่หงอวี่จะไม่มีความกังวลเช่นนั้นเลย
มู่หงอวี่พยักหน้า แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“แต่ว่าข้าเชื่อใจนาง!”
พวกนางเคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ทำให้นางเชื่อใจฉู่หลิวเยว่โดยไร้เงื่อนไข
หลัวซือซือเหม่อลอยไปเล็กน้อย
“ซือซือ เจ้าพาหงอวี่ไปดูรอบๆ หน่อย อาจารย์จะไปหาฮวาเฟิง”
“หื้อ? หา เจ้าค่ะ”
หลัวซือซือดึงสติกลับคืนมาแล้วรีบตอบรับ
ผู้อาวุโสเหวินซีส่งมู่หงอวี่ให้หลัวซือซืออย่างวางใจ และรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
หลัวซือซือครุ่นคิดแล้วถามขึ้นว่า
“พวกเราไปดูที่จัตุรัสชิงหมิงกันก่อนเถอะ? ฉู่เยว่มาอยู่ที่สำนักได้ไม่นาน ก็ได้ขึ้นประลองชิงอวิ๋นแล้ว ถ้าถึงที่นั่นแล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก!”
หลัวซือซือยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าเป็นสหายของฉู่เยว่ ก็นับว่าเป็นสหายของข้าด้วย พวกเราไปกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบนางก็พาอีกฝ่ายเดินตรงไปด้านหน้า
…
“ฮวาเฟิง มาหาข้ามีเรื่องอันใดอีกหรือ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีมาถึงที่พำนักผู้อาวุโสฮวาเฟิงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาเดินไปด้านในเรือน เขาก็ถามขึ้นมา
ไม่มีเสียงตอบรับ
จากนั้นเขาก็มองไปด้านในครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ
เขาจ้องไปยังของที่อยู่บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย
“กำลังมองอันใดอยู่?”
ผู้อาวุโสเหวินซีเดินเข้าไปหาแล้วเอื้อมมือหยิบ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรีบห้ามโดยทันที
“เฮ้ย! อย่าแตะต้องมัน!”
ผู้อาวุโสเหวินซีเองก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่มีความสงสัยเพิ่มมากขึ้น จึงโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แล้วมองดูสิ่งนั้น
“มันเป็นสมบัติอันใดกัน ถึงยังจะซ่อนเอาไว้อยู่…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ผู้อาวุโสเหวินซีก็สัมผัสได้ทันทีว่ามันมีอันใดบางอย่างผิดปกติ หัวใจกระตุกวูบไปเล็กน้อย
โครม!
ประตูบานใหญ่ที่ด้านนอกถูกปิดด้วยฝีมือของผู้อาวุโสฮวาเฟิง
ขณะเดียวกันม่านพลังชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นโดยรอบ!
ผู้อาวุโสเหวินซียิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิม
ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อผู้อาวุโสฮวาเฟิง นี่น่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาถึงได้ทำเช่นนี้
รอยยิ้มหยอกล้อบนใบหน้าของเขาก็แข็งค้างไปเล็กน้อย
“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ท่าทางดูลังเลอย่างมาก
หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็โบกนิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ
ของที่อยู่บนโต๊ะลอยขึ้นมาภายใต้การควบคุมของเขา มันลอยค้างอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
มันคือกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นหนึ่ง เป็นกระดาษบาง แต่คุณภาพดี อีกทั้งยังเปล่งประกายด้วยลำแสงสีหยกจางๆ ทั้งศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ผู้อาวุโสเหวินซีจดจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จึงรีบเบนสายตาออกมา
“นี่มันคือค่ายกลอันใดกัน! แรงกดดันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านค่ายกล แต่เขาก็อยู่ที่สำนักมาหลายปี รอบข้างของเขามีปรมาจารย์ด้านค่ายกลที่เก่งกาจอย่างผู้อาวุโสฮวาเฟิงจำนวนไม่น้อย ดังนั้นซึ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลอยู่บางส่วน
และค่ายกลระดับสูงเขาก็เห็นมาไม่น้อยเช่นกัน
บนค่ายกลนี้ไม่ได้นับว่าเป็นค่ายกลที่สลับซับซ้อนมากที่สุดที่เขาเคยเจอ แต่รัศมีที่แผ่ออกมามันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
เขาจ้องมันเพียงครู่เดียว ก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และจิตสังหารที่ดุเดือด เหมือนกับพยายามจะทะลุกระดาษแผ่นนี้ แล้วออกมาโจมตีโดยตรง!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงโบกมือ กระดาษแผ่นนั้นก็บินกลับมาอีกครั้ง
เขาหยิบที่ทับกระดาษที่อยู่ด้านข้างออกมา และวางในตำแหน่งตรงกลาง
ระลอกคลื่นที่น่าตกใจเหมือนว่าจะค่อยๆ หายไป
“เจ้าก็สามารถสัมผัสได้หรือว่าค่ายกลนี้แข็งแกร่งอย่างมาก?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วขึ้น
“แต่ว่านี่ยังไม่ใช่ค่ายกลที่สมบูรณ์”
“อันใดนะ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีตกใจอย่างมาก
ค่ายกลที่โหดเหี้ยมและแข็งแกร่งเช่นนี้ หากยังไม่ใช่ค่ายกลที่สมบูรณ์…
ยากจะจินตนาการออกเลยว่า มันจะทำให้คนตกตะลึงมากแค่ไหน!
“เจ้าได้ค่ายกลนี้มาจากที่ใด?”
ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อผู้อาวุโสฮวาเฟิง ตอนนี้อีกฝ่ายน่าจะไม่สามารถสร้างค่ายกลที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้หรอกมั้ง?
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า หลังจากที่พวกเราไปถึงบุพกาลชายแดนเหนือแล้ว ระหว่างทางเคยเจอกับอุปสรรคมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการติดอยู่ในค่ายกลแห่งหนึ่ง?”
ผู้อาวุโสเหวินซีพยักหน้า
“จำได้สิ หรือว่า… นี่จะเป็น …”
“นี่ไม่ใช่ค่ายกลนั้น”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงนวดขมับของตนเอง แล้วหัวเราะออกมาอย่างจนปัญญา
“ในตอนนี้ค่ายกลเช่นนั้นข้าไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้ นี่คือ…ค่ายกลที่ฉู่เยว่วาดออกมา”
“เขาจำมันได้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง ดังนั้นช่วงเวลานี้ ข้าจึงลองพยายามฟื้นฟูค่ายกลอันลึกลับนั้น ตอนนี้ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จ เพียงแค่ทำเสร็จในบางส่วนเท่านั้น แต่… เจ้าก็สามารถเห็นพลังของมันแล้ว”
ผู้อาวุโสเหวินซีรู้ว่าที่ในตอนนั้นพวกเขาออกมาได้ ก็เพราะเป็นความพยายามของฉู่เยว่ แต่เขาไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก
“ดังนั้น?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า
“ค่ายกลนี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกับค่ายกลที่เจ้าสำนักคนแรกทิ้งไว้ให้อย่างมาก!”