ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1433 ทะลวง
ตอนที่ 1433 ทะลวง
การมีอยู่ของเจ้าสำนักคนแรกคือตำนานที่อยู่ห่างไกล แต่สำหรับผู้อาวุโสฮวาเฟิงและคนอื่นๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมเช่นกัน
ตอนแรก เขาก่อตั้งสำนักหลิงเซียวด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งยังทิ้งสมบัติล้ำค่าของตนเองไว้มากมาย และทั้งหมดนั้นยังถูกเก็บอยู่ในหอตำราลึกลับ
หมื่นปีที่ผ่านมานี้ มีเพียงอดีตเจ้าสำนักและผู้อาวุโสที่ได้รับการสืบทอดเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปด้านในได้
บังเอิญว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
และด้วยเหตุนี้ เขาจึงโชคดีพอที่จะเห็นค่ายกลที่เจ้าสำนักคนแรกได้ทิ้งเอาไว้ให้กับตาตนเอง
แต่น่าเสียดายที่ค่ายกลลึกลับเหล่านั้นมีพลังมากเกินไป หากอยากจะจดจำทั้งหมด สำหรับผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากพอก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากเกินไป
เขาสามารถจำได้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่มันก็มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับตัวของเขาแล้ว
ตอนที่อยู่บุพกาลชายแดนเหนือ เมื่อเขาถูกขังในค่ายกลขนาดใหญ่ เขากลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้ามั่นใจ
หลังจากที่กลับมาแล้ว เขาก็นึกถึงค่ายกลที่ฉู่เยว่วาดขึ้นมาในวันนั้นอย่างละเอียด อีกทั้งยังเสริมและแก้ไขมันทีละน้อย
จนตอนนี้ค่ายกลของเขาเหมือนว่าจะสำเร็จไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ในที่สุดเขาก็มั่นใจได้แล้วว่า… ค่ายกลแห่งนี้ ลักษณะคล้ายคลึงกับค่ายกลที่เจ้าสำนักคนแรกทิ้งเอาไว้ให้!
แน่นอนว่าเขาไม่กล้ามั่นใจว่าค่ายกลนั้นจะเหมือนกันทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วมันผิดพลาดไปเล็กน้อย ก็จะผิดพลาดไปทั้งหมด
แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาสามารถมั่นใจได้ว่า ค่ายกลแห่งนี้จะต้องมีความสัมพันธ์อันใดบางอย่างกับเจ้าสำนักคนแรกแน่นอน!
ผู้อาวุโสเหวินซีได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้
“… เจ้า… เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอันใดอยู่?”
ผู้อาวุโสเหวินซีพูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าลำคอตีบตัน กล่องเสียงแห้งผาก
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ เป็นไปไม่ได้ ฝ่ายตรรกะเหตุผลกลับบอกเขาว่า ไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้
ปกติแล้วผู้อาวุโสฮวาเฟิงมักจะชอบพูดเล่น แต่ในเรื่องแบบนี้ เขาต้องจริงจังกับมันแน่นอน
เขาสามารถมั่นใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจะต้องเปรียบเทียบด้วยตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งแน่นอน หลังจากที่เขาสามารถยืนยันสถานการณ์ได้ เขาถึงได้มาเล่าให้ฟัง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหัวเราะเสียงขมขื่น
“ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างใด ในเรื่องนี้… บางทีอาจจะควรไปบอกปั๋วเหยี่ยน”
ผู้อาวุโสเหวินซีเงียบไปสักพักหนึ่ง
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนขนาดนั้น ช่วงนี้ภายในสำนักมีเรื่องมากมายที่จะต้องให้เขาจัดการ ตอนนี้เขาน่าจะยุ่งมาก ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาปรึกษากันก่อน… เจ้าบอกว่าค่ายกลนี้ฉู่เยว่เป็นคนบอกเจ้าหรือ? แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ทางด้านค่ายกล แต่ค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดนี้ เขาน่าจะไม่เข้าใจขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องวันนั้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด
ภายในห้อง เกิดความเงียบเข้าปกคลุม
“เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว หมายความว่าค่ายกลนี้ฉู่เยว่แค่เคยเห็นโดยบังเอิญ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“เขาพูดออกมาเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่”
เรื่องที่เกี่ยวข้องนั้นยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เขาล้วนสงสัยไปเสียทุกจุด
“ข้าคิดว่า ค่ายกลแห่งนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักคนแรก ส่วนฉู่เยว่จะรู้เรื่องนี้หรือไม่นั้น จำเป็นต้องถามอีกครั้ง”
สายตาของผู้อาวุโสเหวินซีจับจ้องไปที่กระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง
กระดาษประเภทนี้เป็นกระดาษที่ปรมาจารย์ค่ายกลใช้วาดค่ายกลออกมาโดยเฉพาะ มันจึงล้ำค่าอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นของรักของหวงของปรมาจารย์ค่ายกล
ด้านบนมีแสงสว่างส่อง ดูแล้วงดงามอย่างยิ่ง
แต่ใครจะคิดเล่าว่าค่ายกลที่อยู่บนนั้นจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเอาไว้อยู่?
“… ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า ฉู่เยว่อาจจะไม่รู้เรื่องนี้ หากเขารู้ เขาจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าโดยตรงได้อย่างใด?”
ผู้อาวุโสเหวินซีพูดขึ้นมาอย่างลังเล
“ไม่ว่าอย่างใดก็ตามเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไข สิ่งที่เจ้าพูดมาก็ถูก ช่วงนี้ปั๋วเหยี่ยนอาจจะเหนื่อยมาก อย่างใดก็รอให้ฉู่เยว่ออกจากเขาเฝิงหมินมาก่อน แล้วให้ทุกคนมาประชุมอย่างพร้อมหน้า แล้วค่อยพูดถึงเรื่องนี้อีกที”
ช่วงหลายวันมานี้ เพราะว่าเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด สุดท้ายแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้เรียกผู้อาวุโสเหวินซีมาปรึกษาหารือด้วยกัน
ในตอนนี้เมื่อกำหนดเส้นทางได้แล้ว เขาจึงวางใจลงได้ไม่น้อย
ผู้อาวุโสเหวินซีก็พยักหน้า
“เรื่องนี้มีการพัวพันไปถึงคนอื่นอย่างรุนแรง หากยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด คงจะต้องเก็บเป็นความลับไปก่อน”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
…
ฉู่หลิวเยว่หลับไปสองวันสองคืน จากนั้นค่อยได้สติขึ้นมาอย่างช้าๆ
นางพยายามลืมตาขึ้นมา แต่ทุกอย่างกลับเลือนราง
มีคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้
นางยังไม่ทันเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน กลิ่นหอมเย็นๆ ก็ปะทะเข้าจมูก
ในตอนนั้นเองนางก็รู้สึกสงบใจขึ้นมา
หัวใจที่ตื่นตระหนกขึ้น สงบลงในทันที
“หรงซิว?”
ภาพตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หรงซิวช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่จะมองไปรอบด้าน
ด้านหน้าว่างเปล่า ใต้ร่างของนางมีเตียงหยกอยู่หลังหนึ่ง
“ที่แห่งนี้คือ…”
“ที่แห่งนี้คือชั้นสองของเขาเฝิงหมิน”
หรงซิวอธิบาย
“ก่อนหน้านี้เจ้าล้มเหลวจากการลองทะลวงด่านจอมยุทธ์ระดับเก้า พลังพลุ่งพล่าน สลบลงไป สองวันที่ผ่านมานี้เจ้าจึงหลับพักผ่อนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด”
หรงซิวอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้นางเข้าใจภายในไม่กี่ประโยค
ฉู่หลิวเยว่นวดขมับของตนเอง และรู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย
ก่อนหน้านี้…
ทันใดนั้นร่างกายของนางก็แข็งค้างไป ก่อนจะรีบลงจากเตียง!
ท่านพ่อ!
แต่เป็นเพราะนางนอนมาเป็นเวลาสองวันเต็ม ตอนนี้ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน จึงทำให้หน้ามืดไปเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างอ่อนระทวย จนเกือบล้มลงที่พื้น
หรงซิวรีบอุ้มนางขึ้นมา คิ้วขมวดมุ่น
“ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ตอนนี้ห้ามวิ่งเพ่นพ่าน”
สองวันมานี้เขาใช้พลังของตนเองมอบความอบอุ่นให้นางอย่างต่อเนื่อง กว่าจะฟื้นฟูมาได้ห้าหกส่วน
แต่อย่างใดนางก็ต้องรักษาตัวให้ดี ร่างกายของนางจะได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
ท้ายที่สุดแล้วความล้มเหลวในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นนางกำลังลองทะลวงด่านสู่จอมยุทธ์ระดับเก้า และเป็นเพราะร่างกายของนางที่แข็งแรง ถึงจะสามารถทนต่อแรงกระแทกของพลังในครั้งนี้ได้
หากเป็นคนอื่น เกรงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่านี้ และอาจจะไม่สามารถบำเพ็ญเพียรต่อไปได้
ในใจของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความร้อนรน นางจับแขนเสื้อของหรงซิวเอาไว้แน่น
“แต่ แต่ว่าตอนนี้ท่านพ่อกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย!”
หากเขาเป็นอันใดขึ้นมา…
ฉู่หลิวเยว่จะไม่มีทางให้อภัยตนเองเด็ดขาด
เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว นางยังอยากจะช่วยท่านพ่อกลับมาอยู่ตลอด แต่นางถูกสิ่งนั้นสิ่งนี้ทำให้ล่าช้าอยู่เสมอ ดึงเวลาจนกระทั่งตอนนี้
แต่ความเป็นจริงแล้ว เพียงแค่นางต้องการจะไป ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้!
“ถ้าเจ้าจะไปในตอนนี้ แล้วเจ้าจะไปที่ใด? เจ้ารู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน?”
คำพูดนี้เหมือนกับน้ำเย็นๆ ทำให้ฉู่หลิวเยว่สงบลงในทันที
นางหลับตาลง ทันใดนั้นพลังที่อยู่บนร่างกายก็เหมือนถูกสูบออกไป
ใช่แล้ว
นางรู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อน่าจะอยู่ที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่
ของชิ้นเดียวที่สามารถสื่อสารกับท่านพ่อได้ก็พังไปเสียแล้ว ตอนนี้จึงขาดการติดต่อจากเขาไป
หากคิดใหม่อีกครั้ง เหตุใดมันถึงยากเช่นนี้?
หรงซิวดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ลูบไหล่นางเบาๆ พร้อมพูดด้วยเสียงต่ำและอ่อนโยนว่า
“วางใจเถอะ ข้าได้ส่งคนไปสืบแล้ว หลังจากนี้อีกไม่นานน่าจะได้รับข่าวคราว”
ฉู่หลิวเยว่พิงศีรษะบนไหล่ของหรงซิว จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
“หรงซิว เจ้า…”
เมิ้งเหล่าเพิ่งลงมาจากด้านบนพอดี เขากำลังจะพูดอันใดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นฉากนี้เข้า เสียงของเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน