ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1434 ตัวแทนความรัก
ตอนที่ 1434 ตัวแทนความรัก
ในตอนนั้นเหมือนอากาศจะถูกแช่แข็งไป
บรรยากาศโดยรอบไร้เสียง แม้กระทั่งเสียงลมหายใจก็สามารถทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนได้
อากาศเหมือนจะเริ่มหดตัวอย่างไร้เสียง และบีบลงจนทำให้คนหายใจไม่ออก
เมิ้งเหล่าเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
แม้ว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่มานานหลายปี เคยผ่านลมฝนและพายุมามาก แต่เมื่อได้เห็นฉากเช่นเมื่อครู่นี้ เขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
…คาดไม่ถึงว่าหรงซิวกับฉู่เยว่กำลังกอดกันอยู่?
ที่สำคัญมันไม่ใช่การกอดแบบธรรมดา!
ความสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างใดก็ไม่ถูกต้อง!
ต่อให้จะเป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ไม่มีทางทำเช่นนี้หรอกมั้ง?
แม้ว่าเมิ้งเหล่าจะไม่ได้พูดอันใด แต่ความคิดที่อยู่ในใจกลับปั่นป่วนเสียแล้ว!
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หรงซิวกลับสงบมากกว่า
หลังจากได้ยินเสียงของเมิ้งเหล่าแล้ว ดวงตาของเขามีประกายประหลาดใจขึ้นครู่หนึ่ง แต่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็ว
ฝีมือของเมิ้งเหล่าแข็งแกร่งกว่าเขา อีกทั้งเมื่อครู่นี้เขายังพูดความสนใจทั้งหมดไปที่ฉู่หลิวเยว่ จึงไม่ได้สังเกตถึงการมาถึงของเมิ้งเหล่า
แต่ว่า…
แล้วอย่างใดเล่า?
หรงซิวตบไหล่ของฉู่หลิวเยว่เบาๆ อีกครั้ง
“เชื่อข้า กลับไปพักผ่อนก่อน”
เดิมทีฉู่หลิวเยว่อยากจะถามคำถามที่เกี่ยวกับท่านพ่อสักสองสามคำถาม แต่เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างใดก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
นางพยักหน้าแล้วผลักตัวออกจากอ้อมกอดของหรงซิว ก่อนจะหันไปมองทางเมิ้งเหล่า
“ขอบคุณเมิ้งเหล่ามากที่รับข้าเข้ามา”
แม้ว่าหรงซิวจะไม่ได้เล่าเรื่องอย่างละเอียด แต่นางก็รู้ว่า ที่นางกับหรงซิวสามารถอยู่ที่นี่ได้ ล้วนเป็นเพราะเมิ้งเหล่า
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น นางอยู่ที่นี่สบายกว่าข้างนอกจริงๆ อีกทั้งยังสะดวกต่อการพักฟื้นด้วย
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวขอบคุณ ไม่ว่าอย่างใดก็ต้องพูดตอบ
แต่ตอนนี้เมิ้งเหล่ายังจะฟังมันเข้าหูอยู่หรือ?
เขาพยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งทื่อ
“อ่า… ไม่ ไม่เป็นไร …เจ้าได้รับบาดเจ็บ พักรักษาตัวก่อนเถอะ…”
แม้กระทั่งตอนที่เขาพูดก็ดูเหมือนจะวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ล้มตัวลงนอนบนเตียงหยกอย่างเชื่อฟัง
หรงซิวยันมือไปด้านหลังแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“นางเพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้ ข้ากำลังจะไปบอกท่านอยู่พอดี”
มุมปากของเมิ้งเหล่าเหมือนจะกระตุกขึ้น
กำลังจะมาบอกเขา?
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้หรงซิวไม่มีแผนการนี้อยู่ในหัวเลย
“ฟื้นแล้วก็ดี”
เมิ้งเหล่าสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าอยู่พอดี ตามข้ามาทางนี้”
หรงซิวพยักหน้าเบาๆ
“ขอรับ”
เมิ้งเหล่าหมุนตัวกลับแล้วเดินขึ้นบันไดไปสองชั้น ก่อนจะหันไปมองทางฉู่เยว่อย่างอดไม่ได้ และสายตาก็ได้ปะทะกับดวงตาสีดำขลับดั่งหมึกพอดี
“เมิ้งเหล่า ท่านมีเรื่องอันใดหรือไม่?”
“ไม่… ไม่มีอันใด”
ในตอนนั้นเมิ้งเหล่าก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นมา เขาจึงรีบถอนสายตาออก แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
เงาร่างของเขาหายไปจากบันไดอย่างรวดเร็ว
หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่มองหน้ากัน จากนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เดี๋ยวข้าจะรีบกลับ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
…
หลังจากที่หรงซิวจากไปแล้ว ที่บริเวณชั้นสองก็เหลือฉู่หลิวเยว่เพียงคนเดียว
เดิมทีนางอยากจะพักผ่อนอีกสักครู่ แต่เมื่อนางนึกถึงท่านพ่อขึ้นมา หัวใจของนางก็ไม่สามารถสงบลงได้
นางครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หยิบคัมภีร์ปรมาจารย์โอสถที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงทิ้งเอาไว้ให้มาเปิดดู
หลังจากที่กลับมาจากบุพกาลชายแดนเหนือแล้ว นางก็สามารถทะลวงจอมยุทธ์ระดับเก้าได้ อีกทั้งเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำอันนั้นก็มีรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ ขาดเพียงการแตกออกของเจดีย์เท่านั้น
นางทบทวนความทรงจำที่ผ่านมา รวมถึงค่ายกลและเทียบยาระดับสูงจำนวนมาก
ตอนนี้นางไม่สามารถโคจรพลังดั้งเดิมได้ จึงทำได้เพียงอ่านตำราแพทย์เท่านั้น
หลังจากที่ทบทวนความทรงจำเหล่านั้นแล้ว นางก็เริ่มเรียนรู้ด้วยตนเองเหมือนเดิม แน่นอนว่านางสามารถเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้ดี
โดยเฉพาะเทียบยา แม้ว่ามันจะซับซ้อนอย่างมาก แต่นางก็สามารถท่องกลับหลังได้อย่างคล่องแคล่ว
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าเหมือนนางได้มาเหยียบที่ธรณีประตูของปรมาจารย์โอสถแล้ว
อย่างใดก็ตามหลังจากล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง นางก็เพิ่มความระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น
…
หรงซิวเดินตามเมิ้งเหล่าไปชั้นบนสุด
คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาที่นี่ แต่หรงซิวเป็นข้อยกเว้น
ด้านหนึ่งคือเมิ้งเหล่าที่ได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรงจนทำให้เสียสมาธิไป นอกจากที่แห่งนี้แล้ว จริงแล้วเขาก็คิดไม่ออกว่าเขาจะพาหรงซิวไปคุยที่ไหน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก่อนหน้านี้หรงซิวเคยมาที่นี่มาก่อน
หลังจากที่เดินมาถึงชั้นบนสุดแล้ว เมิ้งเหล่าก็สะบัดมือโบกปิดผนึกม่านพลัง ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางปกติ
หลังจากที่หรงซิวเดินตามไปแล้ว ตอนนั้นเองเขาก็เห็นประตูบานหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบสงบ
ดวงตาหงส์ของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ความดำมืดพาดผ่านดวงตาของเขา ก่อนจะถอนสายตาออกมาอย่างไร้เสียง เมิ้งเหล่าหยุดยืนนิ่งอยู่ห่างไปประมาณห้าก้าว
“เมิ้งเหล่า เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอันใดหรือ?”
เมิ้งเหล่าก้มหน้าลง เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาก็อดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ พร้อมมองหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าข้าจะถามว่าอันใด?”
หรงซิวพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “เชิญเมิ้งเหล่าพูดมาก่อน”
“หึ!”
เมิ้งเหล่าไม่ยอมพูด แต่แค่นหัวเราะออกมาอย่างรุนแรง
“เจ้าพูดเรื่องของเจ้ากับฉู่เยว่ก่อน ว่ามันเรื่องอันใดกันแน่!”
หากเขาไม่เข้าใจในเรื่องนี้ เกรงว่าจะต้องกระสับกระส่ายไปทั้งวัน!
เมื่อได้ยินดังนั้นหรงซิวก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เมื่อครู่นี้ท่านก็เห็นหมดทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ? นางเพิ่งฟื้นขึ้นมา แล้วพูดว่าจะออกไป รีบร้อนจนเกือบจะล้ม ข้าจึงเข้าไปพยุงนาง”
เมิ้งเหล่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เขาไม่เห็นฉากก่อนหน้านี้ เห็นเพียงภาพสุดท้ายเท่านั้น!
แล้วอีกอย่างนั่นมันใช่พยุงหรือ?
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนกำลังกอดกันอยู่แท้ๆ
เขาเองก็รู้จักหรงซิวมาหลายปีแล้ว
จากนิสัยที่เขารู้จักหรงซิว เขาจะไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด
นอกเสียจาก… คนผู้นั้นจะมีฐานะไม่ธรรมดาในใจของหรงซิว!
แต่ดูจากท่าทางของหรงซิวในตอนนี้แล้ว เขาไม่มีทางพูดอันใดไปมากกว่านี้แน่นอน
ใช่แล้ว ฉู่เยว่…
หน้าตาสะอาดสะอ้านน่ามอง พรสวรรค์โดดเด่น เมื่อตอนที่ยิ้มขึ้นมา ก็สามารถทำให้คนชอบได้
แต่ว่าเขาเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่ง!
หรงซิวเองก็มีพระชายาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
เขาคิดจะทำอันใดกันแน่?
ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากผ่านไปสักพัก สายตาของเมิ้งเหล่าก็เหลือบไปมองที่ประตูบานนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้นเองสีหน้าของเขาก็อ่อนลง แววตามีความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นอยู่หลายส่วน
เขาสะบัดแส้ขนหางจามรี แล้วลูบหัวคิ้ว
“หรงซิว เจ้า… ตอนนี้เจ้าก็แต่งงานแล้ว เรื่องบางอย่าง ก็ควรจะมีขอบเขตบ้าง”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คำพูดนี้…
“ก่อนหน้านี้เคยได้ยินปั๋วเหยี่ยนพูดว่า พระชายาของเจ้าคนนั้น เจ้าเป็นคนเลือกด้วยตนเอง อีกทั้งยังเหมือนว่าจะพอใจอย่างมาก เจ้า… น่าจะชอบนางใช่หรือไม่?”
สีหน้าของหรงซิวลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย
เขาพยักหน้า
“แน่นอน”
เมิ้งเหล่าลังเลไปสักพักแล้วพูดขึ้นมาอย่างยากลำบากว่า
“ข้ารู้ว่า การไปไม่กลับของนังหนูคนนั้นในปีนั้นมีผลต่อจิตใจของเจ้าอย่างมาก หลังจากนั้นเจ้าก็ไปตามหาด้วยตนเอง อีกทั้งยังผ่านความเป็นความตาย สุดท้ายก็กลับมาพร้อมบาดแผลทั่วร่างกาย แต่เรื่องเหล่านี้มันก็ผ่านมาแล้ว ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีพระชายาแล้ว เช่นนั้นก็ดูแลให้ดี ไม่ใช่…”
เขาถอนหายใจออกมา
คำพูดบางอย่างความจริงแล้วเขาไม่ควรเป็นคนพูด แต่หากถ้าเขาไม่พูด ก็จะไม่มีใครมาสนใจหรงซิวแล้ว
ดังนั้นต่อให้หรงซิวไม่ชอบฟังคำพูดเหล่านี้ เขาก็ยังต้องพูดต่อไป!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเมิ้งเหล่าก็เคร่งเครียดมากขึ้น
เขาพูดขึ้นว่า
“ฉู่เยว่คนนี้ มีส่วนคล้ายกับนังหนูคนนั้นไม่น้อยเลย แต่เจ้าจะเอาเขาเป็นตัวแทนของแม่นางคนนั้น มันก็ไม่ได้ยุติธรรมกับใครเลย!”
หางตาของหรงซิวกระตุกอย่างรุนแรง