ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1437 น่าสงสาร
ตอนที่ 1437 น่าสงสาร
ผู้คนทยอยเดินเข้ามาเรื่อยๆ แต่คนแรกที่ไป๋หลีฉุนเห็น และคนแรกที่เขานึกอย่างถามสารทุกข์สุขดิบ กลับเป็นเจียงจื่อหยวน
ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนก็ทำเพียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแอบพูดคุยกันผ่านทางสายตา และทำใจยอมรับอย่างรวดเร็ว
อย่างใดเสีย เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้ผิดแปลกไปจากเดิม
ประชากรของพระราชวังเมฆาสวรรค์นั้นมีมากมายหลายเผ่าพันธุ์ และท่ามกลางหมู่คนรุ่นใหม่ ก็มีคนที่มีทักษะโดดเด่นอยู่นับไม่ถ้วน
แต่ไม่มีใครเทียบเจียงจื่อหยวนได้สักคน
นั่นอาจเป็นเพราะเขาพานางมาและเลี้ยงนางมาเองกับมือ เลยทำให้นางแตกต่างจากคนอื่น
หยาดน้ำตาที่กลั้นไว้นานของเจียงจื่อหยวน พลันไหลทะลักออกมาราวหมดสิ้นชีวา
ความปิติยินดีผสมปนเปกับความทุกข์ แลดูน่าเวทนายิ่งนัก
หากมิใช่เพราะบาดแผลน้อยใหญ่และคราบเลือดบนใบหน้านั่น สภาพของนางคงจะดูน่าอภิรมย์กว่านี้
ทว่าเมื่อไป๋หลีฉุนเห็นภาพเหล่านี้ นอกจากเขาจะไม่รังเกียจนางแล้ว ในใจกลับยิ่งทุกข์ระทมมากขึ้น
“เกิดอันใดขึ้นหรือ? หยวนหยวน? ไยเจ้าจักร้องไห้คร่ำครวญเพียงนั้น?”
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางลูบศรีษะของเจียงจื่อหยวนเบาๆ ราวปลอบประโลม
“เจ้าดูสิ ปู่ออกด่านมาได้อย่างปลอดภัยเลยนะ?”
ทั่วทั้งพระราชวังเมฆาสวรรค์ มีเพียงเจียงจื่อหยวนเท่านั้น ที่สามารถเรียกเขาว่า “ปู่” ได้
“ท่านปู่ฉุน…”
เจียงจื่อหยวนรีบเช็ดน้ำตา แต่กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ทำให้ท่านต้องเห็นภาพอุจาดตาเสียแล้ว…”
“เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า?”
ไป๋หลีฉุนเจ็บปวดใจยิ่งนัก พลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้
ลมปราณสะเปะสะปะ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ผิวหน้าซีดเซียว
อีกทั้งยังมีคราบเลือดอันน่าสยดสยองติดตามตัวและดวงหน้าของนางอีก
…นี่ไม่ใช่ผลจากทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นเมื่อครู่ก่อนแน่นอน!
ทันทีที่เขาก้าวออกมา เขาก็สังเกตเห็นเจียงจื่อหยวนที่ยืนอยู่เยื้องๆ เอาแต่กวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
ตามหลักแล้วนางอาจจะไปเจอเรื่องสะเทือนใจมา แต่ไม่มีทางที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้!
“เจ้า… เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?”
สีหน้าของไป๋หลีฉุนพลันเคร่งขรึมขึ้นทันตา
“มันผู้ใดใครรังแกเจ้า?!”
เจียงจื่อหยวนเม้มปากอย่างลังเล พลางเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่… ไม่ใช่…”
แต่สภาพของนางในตอนนี้ สำหรับไป๋หลีฉุนแล้ว มันเหมือนนางถูกใครรังแกมาก็มิปาน!
ไป๋หลีฉุนจึงเอ่ยปลอบโยนนางสองสามประโยค
“ไม่ต้องห่วง ปู่ของเจ้าอยู่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าเด็ดขาด!”
หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หันไปมองผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกและคนอื่นๆ
พลันระงับความโกรธในใจ แล้วถามว่า
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอันใดขึ้น?”
ไยเจียงจื่อหยวนถึงมาอยู่ที่เขาว่านจง?
แล้วเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บมากมายเพียงนี้?
เด็กสาวตัวเล็กๆ ในความทรงจำของเขานั้น ทั้งมีชีวิตชีวา สง่างามและโอบอ้อมอารีอยู่เสมอ แต่แล้วเหตุใดนางถึงได้ดูหวาดกลัวเช่นนี้เล่า?
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกแอบเย้ยหยันในใจ
ประมุขของพระราชวังเมฆาสวรรค์ผู้นี้ช่างพิลึกคนนัก
เขาไม่เคยสมรสกับใคร และไม่มีทายาทสืบสกุล แต่กลับหยิ่งยโสแลดื้อรั้นเกินใคร
ความจริงแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองพระราชวังเมฆาสวรรค์คือเผ่าไป๋หลี
เชื้อสายของผู้นำตระกูลไป๋หลีนั้นมีมากมาย ตระกูลชั้นล่างเองก็มีความเกี่ยวพันธ์กันไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีต้นกล้าดีๆ เกิดขึ้นมาในตระกูลมากมายเพียงใด
แต่ไป๋หลีฉุนกลับปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเย็นชาและเข้มงวดอยู่เสมอ แต่เขาจะใส่ใจเจียงจื่อหยวนมากเป็นพิเศษ
เมื่อเจียงจื่อหยวนอายุได้สามสี่หนาว นางมาเยือนพระราชวังเมฆาสวรรค์เป็นครั้งแรก ตอนนั้นเขาเกิดถูกตาต้องใจนาง และสั่งให้นางอยู่ที่นี่ เพื่อที่เขาจะได้เลี้ยงดูและสั่งสอนนางด้วยตัวเอง
เสมือนว่านางเป็นบุตรสาวของเขาอย่างใดอย่างนั้น
แม้ว่าพื้นเพของเจียงจื่อหยวนจักต่ำต้อยกว่าลูกหลานในพระราชวังเมฆาสวรรค์เล็กน้อย แต่เนื่องจากไป๋หลีฉุนออกปากเลี้ยงดูนางด้วยตัวเอง สถานะของนางจึงเทียบได้กับธิดาคนโตของพระราชวังเมฆาสวรรค์!
และแต่ไหนแต่ไรมา เจียงจื่อหยวนเองก็คุ้นชินกับความรู้สึกเหล่านี้ จนถือเอาพระราชวังเมฆาสวรรค์เป็นบ้านอีกหลังของตัวเอง
และนางไม่ได้เป็นคนของตระกูลไป๋หลี หากขึ้นเป็นพระชายาได้ย่อมดีกว่า
โดยเฉพาะยามที่นางเห็นตอนที่หรงซิวถูกพาตัวกลับมาครั้งแรก นางก็ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้เย็นชาและเย่อหยิ่งคนนั้นในทันที
นางคิดเสมอว่าทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่นางสมควรได้รับ
ดังนั้นเมื่อมีแม่นางอีกคนปรากฏตัวขึ้น ได้ครอบครองตำแหน่งชายาเอก และปล้นทุกสิ่งที่ควรจะเป็นของนางไป นางถึงได้ตีโพยตีพายเช่นนั้น และเคียดแค้นอีกคนไปทั้งใจ
“เรื่องมันยาวนัก”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เชิญท่านประมุขย้ายไปที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับทุกคนก่อน เราจะได้คุยกันแบบเปิดอกเลย”
…
“ตุบ!”
ทันทีที่เจียงจื่อหยวนเดินเข้าไปในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ นางก็คุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาสองข้างแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
“หยวนหยวน เจ้าทำอันใด ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”
ไป๋หลีฉุนที่เพิ่งนั่งลงและเห็นนางทำเช่นนั้น ก็เกิดเจ็บปวดใจขึ้นมาอีกครา
หลายปีมานี้ เจียงจื่อหยวนไม่เคยไปยั่วยุผู้ใดในพระราชวังเมฆาสวรรค์เลย
แต่แล้วเหตุใดวันนี้ นางถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้กัน?
เจียงจื่อหยวนไม่ยอมลุก และทำเพียงคร่ำครวญว่า
“ท่านปู่ฉุนเจ้าคะ หยวนหยวนผิดไปแล้ว! โปรดลงโทษหยวนหยวนด้วย!”
ไป๋หลีฉุนมองดูภาพนั้น พลันระงับอารมณ์คุกรุ่นในใจอย่างอดกลั้น แล้วโพล่งถามอย่างฉุนเฉียว
“มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่!?”
เจียงจื่อหยวนเงยหน้าขึ้นมอง
รอบๆ ท้องพระโรงมีผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งและคนอื่นๆ รวมตัวกันอยู่ที่นี่ และนั่งขนาบข้างอยู่ทั้งสองด้าน
ต่อหน้าคนพวกนี้ มีหลายสิ่งที่นางไม่อาจพูดออกมาได้อย่างสะดวกใจ
และทำได้แค่…
เลือกพูดเฉพาะเรื่องที่สามารถพูดได้เท่านั้น
เจียงจื่อหยวนรีบระดมความคิด ใบหน้าของนางหม่นหมองลงเรื่อยๆ
“ท่านปู่ฉุนเจ้าคะ ก่อนหน้านี้หยวนหยวนได้ทำผิดพลาดไป และทำให้ท่านอาจารย์โกรธ เขา… เขาไม่ต้องการข้าแล้ว!”
ไป๋หลีฉุนชะงักด้วยความสับสน
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกจึงอธิบายให้เขาฟังว่า
“นางถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียว ทางสำนักไม่ได้เปิดเผยถึงสาเหตุ ทว่าเรื่องนี้ ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จนคนทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่นินทากันให้ทั่ว”
ช่างน่าอับอายจริงๆ!
เจียงจื่อหยวนกำหมัดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น เล็บมือคมๆ จิกทิ่มเข้าไปในฝ่ามือบาง นางอยากแก้ต่างให้ตัวเองแทบตาย แต่มิอาจกล่าวอันใดได้เลย
มีเพียงต้องกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปเท่านั้น
ไป๋หลีฉุนขมวดคิ้วแน่น และเงียบเสียงไปพักหนึ่ง
เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ไม่ว่าเขาจะรักเจียงจื่อหยวนมากแค่ใด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์นี้ สร้างมณทิลอันยากจะลบล้างให้นาง และพระราชวังเมฆาสวรรค์เสียแล้ว
ผ่านไปสักพัก เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“แล้วบาดแผลบนตัวเจ้า…”
“ได้มาตอนที่ข้าเดินทางไปยังบุพกาลชายแดนเหนือเจ้าค่ะ…”
เจียงจือหยวนพูดแล้วก้มศีรษะลงอีกครั้ง
เจียงจื่อหยวนกล่าว พลางก้มหน้าลงต่ำ
“ยามนี้ข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว ท่านปู่ฉุนโปรดอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ”
ดีขึ้นมากหรือ?
หมายความก่อนหน้านี้ นางเจ็บหนักกว่านี้อีกหรือ?
เมื่อเห็นนางยอมโอนอ่อนราวหมดทางสู้ ความเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับเรื่องที่นางถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียว ก็พลันมลายหายไปจากใจของไป๋หลีฉุน
หยวนหยวนถูกเขาเลี้ยงดูมาอย่างดี นางวางตัวดีมาโดยตลอด อีกทั้งเมื่อก่อนผู้อาวุโสของสำนักเองก็ชื่นชอบในตัวนางมากเลยมิใช่หรือ?
มันจะต้องมีอันใดผิดพลาดแน่ๆ!
พอคิดเช่นนั้น ไป๋หลีฉุนก็เงยหน้าขึ้น แล้วกวาดตามองไปรอบๆ
“หรงซิวล่ะ? ข้ารอนานเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังไม่มาอีก?”
แม้ตอนนี้เขาจะเป็นถึงโอรสสวรรค์ แต่ก็ไม่ควรละเลยหน้าที่เช่นนี้!
เจียงจื่อหยวนปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร พลางกระซิบเอ่ยราวขลาดอาย
“ยามนี้ท่านพี่หรงซิวน่าจะอยู่ที่สำนักเจ้าค่ะ… ไม่แปลกที่เขาจะยังมาไม่ถึง วอนท่านปู่อย่าโกรธเขาเลยเจ้าค่ะ”
นางชะงักไปนิด พลันหลุบตาลง
“เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเหตุใดพี่สะใภ้ถึงยังไม่มา… ความจริงหากท่านออกด่านแล้ว นางน่าจะมา…”
“พี่สะใภ้? พี่สะใภ้อันใด?”
ไป๋หลีฉุนทำหน้าฉงน
เจียงจื่อหยวนเหยียดยิ้มอย่างขมขื่น
“ใช่แล้ว ท่านอาจยังไม่ทราบว่า ท่านพี่หรงซิวเขา… เขาเลือกพระชายาแล้วเจ้าค่ะ และตอนนี้ก็น่าจะอยู่ที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์…”
โครม!
ไป๋หลีฉุนโกรธมาก และทุบโต๊ะอย่างแรง!
“บังอาจนัก!”
เขาวางตำแหน่งพระชายาไว้ให้เจียงจื่อหยวนตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้หรงซิวกลับเอาคนอื่นมาแทนที่นาง นี่เขาคิดจะทำอันใด!?
“พระชายาหรือ… ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว! ทหาร! ไปตามแม่นางผู้นั้นมา!”