ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1438 บังเอิญจัง พอดีว่านางเป็นอัจฉริยะชั้นยอด
ตอนที่ 1438 บังเอิญจัง พอดีว่านางเป็นอัจฉริยะชั้นยอด
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเอ่ยปากพัลวัน
“ท่านประมุขขอรับ ช่วงนี้พระชายาทรงง่วนอยู่กับการเข้าด่านที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ หากบุ่มบ่ามเข้าไปเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่เหมาะกระมัง? หากมันทำให้การฝึกฝนของนางล่าช้า ท่านจักทำเช่นไร?”
เพียงประโยคเดียว ก็ทำเอาทหารรับใช้ที่กำลังจะวิ่งออกไป ถึงกับหยุดฝีเท้าลงทันตา
และยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความลังเล
ฝ่ายหนึ่งก็ท่านประมุข อีกฝั่งก็ผู้อาวุโส แล้วพวกเขาฟังใครดี?
โดยปกติแล้ว แน่นอนว่าพวกเข้าต้องฟังประมุขของเผ่า
ทว่าหลายปีมานี้ท่านประมุขทรงเก็บตัวอยู่แต่ในด่านฝึก และไม่เคยออกมาทรงงานเลยสักครั้ง ทำให้พระโอรสและผู้อาวุโส
หมิงที่สามสิบหกต้องเข้ามาช่วยกันจัดการราชกรณียกิจต่างๆ แทน
แต่ช่วงนี้พระโอรสไม่ได้ประทับอยู่ตำหนัก ส่งผลให้ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเข้ามาถืออำนาจรักษาการณ์แทนชั่วคราว
แม้แต่คนเป็นประมุขเอง ก็ยังต้องยำเกรง
เมื่อไป๋หลีฉุนเห็นฉากนี้ ก็พลันยิ้มเยาะออกมาด้วยความหงุดหงิด
ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี
พระราชวังเมฆาสวรรค์เปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวหรือ!
“กระไรกัน ไม่เข้าใจคำสั่งของประมุขหรือ?”
ไป๋หลีฉุนกดเสียงเข้มขึ้น น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
โดยเฉพาะคำว่า “ประมุข” ที่เขาจงใจเน้นย้ำเสียงลงหนักๆ
ใบหน้าของคนรับใช้ซีดเผือด พลันสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย และเตรียมก้าวขาออกไป หากแต่ถูกผู้อาวุโสหมิงที่สิบหกหยุดไว้อีกครา
“ก่อนหน้านี้พระโอรสทรงมีรับสั่งว่า ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ หรือรบกวนพระชายาโดยไม่ได้รับอนุญาต กระไรกัน พวกเจ้าลืมรับสั่งของโอรสสวรรค์แล้วหรือ?”
ยามที่ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกล่าวเช่นนั้น เขาไม่ได้หันไปมองไป๋หลีฉุน หากแต่ใช้สายตาอันน่ากลัวคู่นั้น จับจ้องไปยังคนรับใช้เบื้องหน้าทีละคน ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ข่มขวัญพวกเขาได้แล้ว และเป็นการหักหน้าไป๋หลีฉุนไปในขณะเดียวกัน
ตำแหน่งประมุขนั้นสูงส่งเกินผู้ใดเทียบเทียม แต่ลืมไปแล้วหรือว่า ตอนนี้ผู้กุมอำนาจของพระราชวังเมฆาสวรรค์คือใคร?
ยิ่งไปกว่านั้น ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นอาณาเขตของพระโอรสมาแต่ไหนแต่ไร แม้ท่านประมุขต้องการจะก้าวก่าย ก็ยังต้องไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ให้ดี!
“ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ!”
เมื่อคนรับใช้ที่กำลังจะสาวเท้าออกไปได้ยินคำว่า “โอรสสวรรค์” ก็รู้สึกหวาดกลัวแลวิตกกังวลกันถ้วนหน้า ก่อนจะถอยหลังกลับมายืนที่เดิมของตัวเองอย่างเชื่อฟัง
ไป๋หลีฉุนตกตะลึงพรึงเพลิด
นี่มันเกิดอันใดขึ้น!?
ตัวเขานั้นเป็นประมุขของพระราชวังเมฆาสวรรค์มานานหลายปี หากแต่ยามนี้กลับชี้นิ้วสั่งใครไม่ได้เลยสักคน!?
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก ถูนิ้ววนรอบถ้วยชาราวมิใส่ใจ
ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว นี่เขายังคิดว่าตัวเองคือผู้กุมอำนาจสูงสุด เฉกเช่นในอดีตอยู่อีกหรือ?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาและองค์ชายจะทรงงานกันหัวหมุนไปไย?
ทั่วทั้งห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบ
เจียงจื่อหยวนเองก็ตกใจไม่น้อย
เดิมทีนางคิดว่าหลังจากท่านประมุขปรากฏตัว เขาจักมาเป็นกองหนุนให้นาง และสามารถลบล้างความอัปยศที่นางต้องทนทุกข์ทรมานได้
แต่เหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้น
พระราชวังเมฆาสวรรค์…
ได้ผลัดเปลี่ยนบัลลังก์แล้วจริงๆ!
แม้แต่พวกผู้อาวุโสอวี๋จิ้งยามนี้ ก็ยังดูลังเลไม่กล้าแย้งอันใดออกไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากเป็นปรปักษ์กับผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก หรือเพราะไม่อยากถูกโอรสสวรรค์คิดบัญชีย้อนหลังกันแน่!
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเงยหน้าขึ้นด้วยความพอใจ พลางส่งเสียงกระหยิ่มยิ้มเยาะเบาๆ
“ท่านประมุข ความจริงแล้วพระชายาเป็นคนละเอียดละออแลรู้ความ ทั้งยังมีมารยาทแลรู้จักวางตัว แต่ที่วันนี้นางมาไม่ทัน นั่นเพราะนางกำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกซ้อม มิเช่นนั้นหากรู้ว่าท่านออกด่าน นางย่อมมารอรับท่านตั้งนานแล้ว มีหรือที่นางจะไม่มา?”
ครั้นคนใหญ่คนโตของพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งหมดมาเยือนถึงที่นี่ หากนางไม่มาก็เขลาเกินคน ใครมันจะโง่หาเรื่องใส่ตัวกัน?
แน่นอนว่ามันต้องมีเหตุผล!
ไป๋หลีฉุนเหยียดยิ้ม
“เข้าด่าน? ฝึกฝน? ในเมื่อเป็นถึงอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทาน นางจักเจียดเวลามาพบข้าสักนิดมิได้เลยหรือ?”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการประชดประชัน
แต่ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกกลับหัวเราะร่า ดวงหน้าสดใสเบิกบาน
“ท่านประมุขช่างมีไหวพริบ! ท่านรู้ได้อย่างใดว่าพระชายาของเรานั้นทั้งเก่งกาจแลไร้เทียมทาน!? ยามใช้นาฬิกาไร้กาลเวลา ทดสอบพลังแห่งสายเลือดของนางตอนนั้น ปรากฏว่านางอยู่ในระดับที่ ‘สิบเอ็ด’ เช่นเดียวกับพระโอรสเลยนา!”
รอยยิ้มโอหังบนใบหน้าของไป๋หลีฉุนพลันแข็งทื่อ
สะ สิบเอ็ดหรือ!?
นี่พวกเขาใช้นาฬิกาไร้กาลเวลาทดสอบพลังแห่งสายเลือดของนางแล้วหรือ?
จริงสิ
ในเมื่อนางเป็นถึงพระชายา แน่นอนว่านางย่อมผ่านการทดสอบนี้…
แต่มันจะสูงขนาดนั้นได้อย่างใด!?
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของไป๋หลีฉุน ใบหน้าที่แต่เดิมเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยเหยียดหยาม พลันหยุดชะงักราวถูกแช่แข็ง
“เรื่องจริงหรือนี่? แม่นางผู้นั้น… เป็นใครกันแน่? ผลการทดสอบแสดงระดับ ‘สิบเอ็ด’ จริงๆ หรือ?”
ต้องรู้ว่าในตระกูลมหาอำนาจที่มีระบบการปกครองอย่างพระราชวังเมฆาสวรรค์นั้น พันปีถึงจะมีอัจฉริยะระดับ “สิบเอ็ด” อย่างหรงซิวปรากฏขึ้นสักคน
แต่จู่ๆ แม่นางคนนี้กลับปรากฏตัวขึ้น และยังบังเอิญอยู่ระดับ “สิบเอ็ด” เหมือนกันด้วย?
เจียงจื่อหยวนเบาเสียงลง พลันกำหมัดแน่น
“นาง… พี่สะใภ้นางทรงทำการทดสอบต่อหน้าธารกำนัล ในขณะนั้น หน้าปัดนาฬิกาไร้กาลเวลาแสดงหมายเลขสิบเอ็ดจริงๆ แม้นพระองค์จักเป็นคนนอกพรมแดน แต่ความสามารถเช่นนี้ ข้าเองก็มิอาจเทียบเคียงได้…”
“ประเดี๋ยวก่อน!”
ไป๋หลีฉุนพลันขัดจังหวะนาง ราวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“คนนอกพรมแดน? เจ้าว่า… นางเป็นคนนอกพรมแดนหรือ!?”
จะเป็นได้อย่างใด!?
ไป๋หลีฉุนอยากจะบ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“…หรงซิว…หรงซิว เจ้าคนสมองกลวงเอ๋ย!”
พระราชวังเมฆาสวรรค์ถือเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในโลกเสิ่นซวี่!
ผู้ที่สามารถครองตำแหน่งพระชายาได้นั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีศักยภาพเหมาะสม ทว่ายังต้องมีภูมิหลังที่ดีงามด้วยมิใช่หรือ?
แต่ลูกข้ากลับไปคว้าแม่นางนอกรีดมาเสียได้?!
“ช่างอัปยศต่อพระราชวังเมฆาสวรรค์ยิ่งนัก! ไม่! ประมุขอย่างข้าไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด!”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกทำทีแคะหูของตน เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกขำขันมากกว่า
“ท่านพูดจริงหรือ ท่านประมุข? พระชายาองค์นี้ทรงแข็งแกร่งเทียบเท่าพระโอรส ครั้นนานวันเข้า นางจักแข็งแกร่งขึ้นอีกอย่างไร้ขีดจำกัด หากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้มันจะจุดไฟริษยาให้กี่ร้อยพันตระกูล! เรื่องเป็นฉะนี้แล้ว ไยท่านยังดักดานอยู่อีกเล่า?”
“เจ้า…”
ไป๋หลีฉุนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง สีหน้าสลับผลัดเปลี่ยนไปมา
พูดแบบนี้แล้วเขาจะเถียงอย่างใด
“แต่เจียงจื่อหยวน…”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเชิดคางขึ้นพลางหัวเราะเยาะ
“ถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียว ทั้งยังทำลายเกียรติยศของตระกูลเจียง… และสร้างปัญหาให้แก่ผู้อื่น สุดท้ายกลับอยากให้เราตามเช็ดตามล้างมลทินให้… นี่คิดจะขายผ้าเอาหน้ารอดกันหรือไร?”
หลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนในปกครองของพระราชวังเมฆาสวรรค์ ถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียว!
ไป๋หลีฉุนจุกในอกจนแทบหายใจไม่ออก
“ท่านรู้หรือไม่ว่า การที่ปล่อยให้นางกลับมายังพระราชวังเมฆาสวรรค์ และเห็นดีเห็นงามปกป้องนางเช่นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของพระราชวังเมฆาสวรรค์ตกต่ำเพียงใด! คนนอกหัวเราะนินทาเราเยี่ยงไร ท่านประมุขอยากทราบบ้างหรือไม่?”
ใบหน้าของไป๋หลีฉุนพลันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
“พอแล้ว!”
เจียงจื่อหยวนเริ่มส่งเสียงสะอื้นเบาๆ
“ทั้งหมด… ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า…”
ไป๋หลีฉุนทิ้งตัวนั่งลงดังเดิมอย่างกลัดกลุ้ม!
ไยแม่นางผู้ได้ครองตำแหน่งพระชายานางนั้น ถึงได้แข็งแกร่งปานอัจฉริยะชั้นยอดเช่นนี้?
เก่งกาจมากเสียจนไม่มีจุดอ่อนให้เขาเล่นงานนางเลยสักอย่าง!
เมื่ออยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ความแข็งแกร่งของตัวบุคคลนั้น ถือเป็นโล่ป้องกันที่ดีที่สุด!
“แล้วก็ เจียงจื่อหยวน หากจำไม่ผิด ปีนี้พระชายาเพิ่งจะมีพระชนมายุสิบเจ็ดหนาว ซึ่งอ่อนกว่าเจ้าหลายปี ที่เจ้าเรียกนางว่า ‘พี่สะใภ้’ ข้าว่าหลังจากนี้เจ้าไม่ควรใช้คำนั้นนา?”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเตือนนางด้วยน้ำเสียงสบายๆ
เจียงจื่อหยวนราวรู้สึกถูกตบหน้าอย่างแรงหลายที จนแทบหมดอารมณ์จะคร่ำครวญ และอยากหายตัวไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!
นางไม่เข้าใจเลย ในเมื่อท่านประมุขออกด่านแล้ว ตามหลักก็ต้องถึงครานางได้เอาคืนสิ แต่เหตุใด… ทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้!?