ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1441 เผชิญหน้า
ตอนที่ 1441 เผชิญหน้า
หัวใจของฉู่หลิวเยว่พลันบีบรัดด้วยความตื่นตระหนก!
หรงซิวหันกลับไปมองแล้วส่ายหัวให้นางเบาๆ เป็นสัญญาณให้สงบสติอารมณ์ลงก่อน
สุ้มเสียงจากชั้นล่างยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
“จะเป็นไปได้อย่างใด?”
เห็นได้ชัดว่าเมิ้งเหล่าเองก็เคลิ้มไปกับข่าวลือแล้ว แต่กลับแสดงท่าทีไม่เชื่อออกมาเป็นอันดับแรก
“ฉู่เยว่เป็นคนของหรงซิว จักไปร่วมมือกับพวกถ้ำปีศาจทมิฬได้อย่างใด? นอกจากนี้ หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ใบนั้นก็เป็นถึงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานกว่าหลายพันปี เหตุใดจู่ๆ ถึงบอกว่ามันมาอยู่กับฉู่เยว่ล่ะ?”
สมบัติศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ใครจะเชื่อว่ามันอยู่กับเจ้าเด็กโข่งนี่กัน?
“ข้าเองก็ไม่เชื่อ! แต่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปแล้ว! พวกเราจะทำอันใดได้!”
ผู้อาวุโสเหวินซีเองก็กังวลเช่นกัน
“ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาด้วยตนเอง และส่งจดหมายมาแทน ทว่าถ้อยคำแลเจตจำนงอันเข้มงวดของพวกเขานั้นชัดเจนนัก ยามนี้ปั๋วเหยี่ยนกำลังหาทางออกให้เรื่องนี้ และขอให้ข้ามาดูสถานการณ์ทางฝั่งฉู่เยว่”
ไม่ว่าอย่างใด คราวนี้พวกเขาก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้
สถานะของถ้ำปีศาจทมิฬในอาณาจักรเสิ่นซวี่มิได้ต้อยต่ำ หากแต่ชื่อเสียงของสำนักกลับเน่าเฟะราวโคลนตม
นั่นเพราะวิธีการฝึกฝนอันชั่วร้ายและไร้มนุษยธรรมของพวกเขา อีกทั้งคนส่วนใหญ่ของสำนักเอง ก็มีจิตใจเลวทรามและโหดร้ายเช่นกัน
สำนักวิชาชั้นนำอื่นๆ ในอาณาจักรเสิ่นซวี่จึงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเขา
และมีหลายสำนักที่โกรธแค้นพวกเขาเข้าไส้
อนิจจา ถ้ำปีศาจทมิฬนั้นทรงพลังและมิได้อ่อนไหวต่อการยั่วยุ ดังนั้นจนถึงตอนนี้ การอยู่ห่างจากพวกเขาจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ทว่ายามนี้ นามของฉู่เยว่กลับถูกโยงเข้าไปพัวพันกับถ้ำปีศาจทมิฬแล้ว จะไม่ให้ผู้คนมุ่งความสนใจมาที่เขาได้อย่างใด!?
หากไม่ใช่เพราะการชี้แจงแลตักเตือนจากผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกับหรงซิว เรื่องทุกอย่างคงทวีความรุนแรงมากกว่านี้ และนางอาจจะถูกสังหารไปแล้วก็ได้!
ไหนจะเรื่องข่าวลือที่บอกว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ฉู่เยว่อีก!
ถ้าเป็นสมบัติทั่วไปคงจะไม่เป็นไร แต่สิ่งนี้คือหนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพเชียวนะ!
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ มีหลายตระกูลที่เป็นเจ้าของสมบัติศักดิ์สิทธิ์สิบอันดับแรก ทำให้พวกเขามีความเย่อหยิ่งจองหองมากกว่าคนอื่น
ซึ่งการที่สมบัติศักดิ์สิทธิ์สามารถผลักดันให้ตระกูลระดับสอง ขึ้นสู่ชนชั้นตระกูลระดับหนึ่งได้นั้น มิใช่เรื่องเกินจริงเลย! แถมยังทำให้สถานะทางสังคมของพวกเขาสูงขึ้น จนมีสิทธิ์ออกเสียงในกระบวนการต่างๆ อีกด้วย!
ผู้ใดเล่าจักอยู่เฉยได้กัน?
แต่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่แห่งนี้ มีตระกูลผู้สูงศักดิ์อยู่มากมาย ทำให้การชิงตำแหน่งผู้ชนะในศึกครานี้ ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่าการปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก!
แต่ถ้ามีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบอยู่ในมือ ก็จะแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้สบายๆ!
ดังนั้นครานี้ คนที่ส่งจะหมายไต่สวนมานั้น มิได้มีเพียงตระกูลชั้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าแต่แม้แต่ตระกูลชั้นสองบางตระกูล ก็ยังแอบเริ่มเคลื่อนไหวอย่างลับๆ
ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วนแลสุ่มเสี่ยงอย่างมาก มิเช่นนั้นผู้อาวุโสเหวินซีคงไม่พูดจาแบบนี้
“เมิ้งเหล่า เรื่องนี้สำคัญนัก อย่างใดฉู่เยว่ก็หนีไม่พ้น ปั๋วเหยี่ยนสั่งให้ข้ามาดูว่า ร่างกายของเขาฟื้นตัวเต็มที่แล้วหรือยัง? หากฟื้นตัวเต็มที่แล้วก็อยากจะให้ไปหารือร่วมกัน เพื่อหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ”
ในที่สุด ผู้อาวุโสเหวินซีก็เปิดเผยจุดประสงค์ของการมาเยือนในครานี้
หัวคิ้วของเมิ้งเหล่าย่นเข้าหากัน แลดูเคร่งขรึมจริงจังยิ่งนัก
ครั้นเกี่ยวข้องกับถ้ำปีศาจทมิฬ และหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ มันจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่…
ไม่กี่วันก่อนฉู่เยว่เพิ่งล้มเหลวจากการทะลวงระดับเก้าขั้นกลาง ยามนี้จึงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายมากๆ แล้วจะให้เขาออกไปทั้งๆ อย่างนี้น่ะหรือ?
มันไม่ต่างจากเอาชีวิตและอนาคตของตัวเองไปทิ้งเลยหรือไร?
“ทางฉู่เยว่… ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกนิดหน่อย และอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก ช่วยบอกปั๋วเหยี่ยนให้รอก่อนได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสเหวินซีถามต่อ
“ครึ่งเดือน ไม่สิ สิบวัน!”
เมิ้งเหล่าตอบกลับราวไม่แน่ใจ
ความจริงแล้ว หากเป็นผู้ฝึกตนธรรมดา เวลาเพียงสองสามเดือน ย่อมมิอาจฟื้นฟูสภาพร่างกายได้
โชคดีที่ฉู่เยว่นั้นมีสมรรถภาพทางร่างกายเป็นเลิศ และหรงซิวเองก็มาช่วยได้ทันเวลา นั่นทำให้ฉู่เยว่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถึงจะเร็วแค่ไหน ก็ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร!
ผู้อาวุโสเหวินซีฝืนยิ้มราวลำบากใจ
“สิบวัน… ท่านแน่ใจใช่หรือไม่?”
ตอนนี้คนเหล่านั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยากบุกมาอุ้มฉู่เยว่ออกไปด้วยซ้ำ!
เมื่อใดที่ได้รับคำตอบจากผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน พวกเขาจะต้องทำเช่นนั้นแน่นอน
แล้วพวกเขาจะยอมให้สิบวันนี้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ!?
แค่ห้าวัน ก็คงไม่ไหวแล้วกระมัง!
“แล้วจะทำเช่นไร! คนพวกนั้นคิดจะขับไสไล่ส่งฉู่เยว่ไปถึงไหน!? เขาก็แค่เด็กอายุสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น!”
เมิ้งเหล่าโกรธมาก
แม้ว่าเขาจะทำตัวโอดครวญ บ่นกระปอดกระแปดทุกครั้งที่ฉู่เยว่เข้ามา แต่ความจริงแล้ว ลึกๆ ในใจเขาชื่นชอบเด็กคนนี้มาก
ภูเขาเฝิงหมินนั้นมีสถานะพิเศษกว่าเขาลูกอื่น กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปปีแล้วปีเล่า มีเพียงเขาที่เฝ้าดูแลภูเขาแห่งนี้เพียงผู้เดียว
ทั้งโดดเดี่ยว เดียวดายและน่าเบื่อ
บางครั้งยามที่ศิษย์ในสำนักทำผิด ก็จะถูกสั่งกักขังไว้บนภูเขาลูกนี้ แต่ส่วนใหญ่ล้วนทำท่าทางหวาดกลัว หน้าตาซีดเซียว ไม่กล้าพูดอันใดสักคำ
เมื่อถึงเวลาลงโทษ เจ้าวายร้ายพวกนั้นก็จะวิ่งหนีไม่คิดชีวิต!
แต่ฉู่เยว่ไม่เป็นเช่นนั้น
เขามีพรสวรรค์ ฉลาดเป็นกรด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความสดใสร่าเริง มีชีวิตชีวา ที่ทำให้เขานึกสนใจเด็กคนนี้ไม่น้อย
และพอได้ยินเรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาอยากแก้ต่างให้ฉู่เยว่
แค่ฉู่เยว่ทะลวงไม่ผ่านก็น่าเวทนาพอแล้ว และตอนนี้ยังมาถูกคนอื่นสาดน้ำโสโครกใส่โดยไร้เหตุผลอีก นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!?
ผู้อาวุโสเหวินซียิ้มเยาะอย่างขมขื่น
“พวกเขาไม่สนใจเรื่องนี้หรอก… ครั้งที่แล้วเพราะได้ปั๋วเหยี่ยนและหรงซิวพูดให้ ถึงช่วยเด็กนั่นออกมาได้ และถึงตอนนั้นทุกคนจะสงสัยในตัวเขา แต่ก็ไม่มีหลักฐานมัดตัวแต่อย่างใด พวกเขาจึงยอมประนีประนอมให้กัน แต่ท่านคิดว่า ครั้งนี้พวกเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้นอีกหรือ?”
ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่า มันจะไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน!
มีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นนี้ ใครมันนั่งมองเฉยๆ ได้?
เพลิงโทสะซ่องสุมไปทั่วทรวงอกของเมิ้งเหล่า พลันดันตัวขึ้นเรื่อยๆ ราวจะระเบิดออกมาในไม่ช้า!
“เมิ้งเหล่า”
แต่แล้วกลับมีสุ้มเสียงเรียบนิ่งทว่าชัดเจน ดังมาจากชั้นบน
เมิ้งเหล่าและผู้อาวุโสเหวินซีต่างตกใจ พลันเงยหน้าขึ้นมอง
“ฉู่เยว่!?”
ผู้อาวุโสเหวินซีอ้าปากพะงาบ
เหตุใดเขาถึงขึ้นไปอยู่ชั้นสองล่ะ?
แถมข้างๆ นั่นก็… หรงซิวมิใช่หรือ!?
เขาอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือนี่!?
“ผู้อาวุโสเหวินซี ศิษย์จะไปกับท่านขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวด้วยสีหน้าปกติไร้ความขุ่นมัว
“ไม่ได้!”
เมิ้งเหล่าคัดค้านพลันขมวดคิ้วฉับไว
“ร่างกายของเจ้า… เจ้ายังต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่อีกสักพัก!”
ที่ผ่านมา ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น?
ถ้ามันอาละวาดขึ้นมาอีกล่ะก็…
ร่างกายเล็กๆ ของฉู่เยว่จะรับไหวหรือ?
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะคิกคัก แอบขอบคุณความห่วงใยของเมิ้งเหล่าในใจ
นางรู้ว่าเมิ้งเหล่าเป็นห่วงนาง แต่ในเมื่อเรื่องมันบานปลายเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะหลบซ่อนอีกต่อไป
ครั้นถูกคนเหยียบหัวขนาดนี้ แล้วยังจะทนอยู่ไย?
ไม่ว่าการไต่สวนจะเป็นอย่างใด ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่านางต้องเผชิญหน้ากับมันให้ได้
นางเดินลงบันไดไปชั้นล่าง หรงซิวเองก็เดินตามนางลงมาด้วย
“ขอบคุณเมิ้งเหล่าที่เป็นห่วง แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะศิษย์ ศิษย์จึงต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่วาดโค้งเป็นรอยยิ้มสวยงาม
เมิ้งเหล่าและผู้อาวุโสเหวินซีพลันตกตะลึงพึงเพลิด
เด็กหนุ่มผู้ใสซื่อแลดูสะอาดสะอ้านตรงหน้าเขา ระบายยิ้มอ่อนโยนและอบอุ่น ราวไร้ซึ่งวามกังวลใดๆ
ความใจกว้างแลโอบอ้อมอารีเช่นนี้… ช่างประทับใจคนมองยิ่งนัก
หัวใจของเมิ้งเหล่าสั่นไหวเล็กน้อย
“เจ้าแน่ใจหรือ? คนพวกนั้นมิได้รับมือได้ง่ายๆ เลย…”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“ในเมื่อศิษย์บริสุทธิ์ใจ แล้วไยจักต้องกลัวพวกเขาด้วยเล่า?”
ขณะพูดนางก็เบนสายตาไปมองผู้อาวุโสเหวินซี
“ศิษย์อยากจะสอบถามว่า ผู้อาวุโสเหวินซี ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่เผยแพร่ข่าวนี้… เป็นใครหรือขอรับ?