ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1445 ศูนย์กลางพายุ
ตอนที่ 1445 ศูนย์กลางพายุ
เจียงจื่อหยวนงอตัวด้วยความตกใจ ริมฝีปากบางซีดเผือด พลันรีบวางกาน้ำชากระเบื้องเคลือบสีเขียวลงทันที
“ท่านปู่ฉุน ข้าไม่น่าพลั้งปากพูด…”
“หยวนหยวน มันไม่ใช่ความผิดเจ้า”
ไป๋หลีฉุนเหลือบมองนาง ที่ห่อตัวลงอย่างสงสารระคนทุกข์ใจ ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้อ่อนนุ่มลง
หากแต่นัยน์ตายังเต็มไปด้วยโทสะที่พุ่งพล่านไม่หยุด
“ข้าแค่คิดว่า เจ้าหรงซิวมันทำเกินไปแล้ว!”
“ย้อนกลับไปตอนที่เจ้าเข้าเรียนพร้อมเขา นอกจากเขาจะไม่เหลียวแลเจ้าแล้ว ซ้ำยังปลีกตัวเดินออกไป ทิ้งเจ้าไว้ในสำนักหลิงเซียวตามลำพังอีก! เขาคิดไม่ได้เลยหรือ ว่าการที่สาวน้อยอย่างเจ้า รออยู่ในสถานที่แปลกตาเพียงลำพัง จักต้องประสบพบเจออันใดบ้าง?”
“เดิมที่ข้าคิดว่าเขาเพียงติดนิสัยเย็นชาวางท่าไม่แยแส จึงไม่ได้ใส่ใจ แต่แล้วตอนนี้มันหมายความเช่นไร? ไยเขาถึงไปเลี้ยงดูปูเสื่อศิษย์น้องคนอื่นเช่นนั้น!”
ไหนจะสอนเคล็ดวิชาให้เป็นการส่วนตัว และยังให้พักอยู่บนเขาจิ่วเหิงด้วยกันอีก!
การปฏิบัติเช่นนี้ แม้แต่เจียงจื่อหยวนยังไม่เคยได้รับ แล้วเจ้าเด็กฉู่เยว่ไร้หัวนอนปลายเท้านั่นมันเป็นใคร!?
“แม้นเขาจะไม่ชอบเจ้า แต่ก็ไม่ควรวางตัวห่างเกินกับเจ้าเช่นนี้! ทำให้เจ้า…”
แล้วเจียงจื่อหยวนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
เจียงจื่อหยวนก้มศีรษะลง พลางเอ่ยเสียงเบา
“ท่านพี่หรงซิวคงจะไตร่ตรองมาดีแล้ว… ท่านปู่โปรดอย่าตำหนิเขาเลย…”
ไป๋หลีฉุนจ้องมองนาง ในใจพลันรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น
เขาเลี้ยงดูเจียงจื่อหยวนมาอย่างดี เหตุใดนางต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเพียงนี้?
ตอนนี้นางถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียว แต่ฉู่เยว่นั่นกลับสามารถชักชวนคนทั้งสำนักให้เป็นพวกพ้องได้…
แล้วแบบนี้ นางจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างใด?
ไป๋หลีฉุนกล่าวพลันลุกขึ้นยืน
เจียงจื่อหยวนสะดุ้งโหยง แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ หางตาเรียวสวยปรากฏหยาดน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา
“ท่านปู่ฉุน ท่านจะทำอันใดหรือเจ้าคะ?”
ไป๋หลีฉุนตะเบ็งเสียงกร้าว
“ไปสำนักหลิงเซียว!”
หัวใจของเจียงจื่อหยวนเต้นระส่ำ แม้แต่ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งที่ยืนอยู่ด้านล่าง ก็ยังทำท่างุนงงเล็กน้อย และเกือบคิดว่าเขาหูเพี้ยนไปเอง
“ท่านประมุข ทะ… ท่านพูดจริงหรือ?”
ไป๋หลีฉุนยกเท้าขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก พลันปลายตามองเขาอย่างเย็นชา
“เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือ?”
อวี๋จิ้งเหงื่อแตกพลั่ก
จะทำเช่นนั้นได้อย่างใด!?
รนหาที่ตายชัดๆ!
“ตะ แต่ว่าท่านประมุข สำนักหลิงเซียวมิได้ส่งคำเชิญมายังพระราชวังเมฆาสวรรค์นะขอรับ แล้วพวกเรา…” จะเสนอหน้าไปได้อย่างใด!
ไป๋หลีฉุนไม่สนใจ พลันกระหยิ่มยิ้มเยาะ
“อันใดกัน แค่ข้าเข้าด่านไปหลายปี ยามนี้ ถึงกับหมดสิทธิ์ไปเยือนสำนักหลิงเซียวเลยหรือ?”
“มิใช่เลย! ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น!” โลหิตในกายของผู้อาวุโสอวี๋จิ้งพลันแข็งตัว และรีบอธิบายทันควัน “เพียงแต่เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวแลสลักสำคัญนัก ตระกูลใหญ่โตมากมายจักมุ่งหน้าไปยังเมืองฝางโจง เมื่อถึงตอนนั้นทุกตระกูลก็จะรวมตัว และอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ซึ่งไม่มีใครรับประกันเรื่องนี้ได้… ท่านเพิ่งออกด่านมา ยังมีราชกิจของพระราชวังเมฆาสวรรค์อีกหลายอย่าง ที่รอให้ท่านสะสางอยู่อีกมิใช่หรือ!?”
ต่อให้เอาหัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่า สถานที่แห่งนั้นกำลังจะกลายเป็นสนามรบขนาดย่อม!
เวลาแบบนี้ ยังจะเข้าไปร่วมสนุกกับพวกนั้นอีกหรือ!?
เขาสะบัดมือเบาๆ
“ไม่กี่ปีมานี้ ข้าจำต้องเก็บตัวอยู่ในด่าน ไม่ได้ทรงงานใดๆ ในพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่ก็ไม่เห็นมีอันใดเกิดอันใดขึ้น ตอนนี้ข้าออกด่านมาได้สองสามวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาอันใดหนิ? พวกเจ้าไม่ต้องตามไป ข้าจะไปคนเดียว!”
ถึงจะออกด่านมาได้ไม่นาน แต่หัวใจของไป๋หลีฉุนกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อหรงซิว ที่สั่งสมมาตั้งแต่วันแรกแล้ว
อำนาจ!
สถานะ!
ศักดิ์ศรี!
ยามนี้ทุกสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเขา ถูกหรงซิวช่วงชิงไปหมดแล้ว!
ครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่ไปที่นั่น เพื่อระบายโทสะแทนเจียงจื่อหยวน แต่ยังต้องไปเคาะภูเขาเขย่าเสือ[1]ให้อีกฝ่ายยำเกรงเสียบ้าง!
เขาจะต้องทำให้หรงซิวรู้ว่า ไป๋หลีฉุนผู้นี้ ยังไม่สิ้นฤทธิ์เดช!
ครั้นเห็นเจตนารมณ์อันหนักแน่นของเขา อวี๋จิ้งก็ถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างใดดี
“ท่านปู่ฉุน! ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
ในที่สุด เจียงจื่อหยวนก็ได้สติคืนมา และรีบตามเขามาอย่างไว
ไป๋หลีฉุนมองนางอย่างคัดค้าน
“ที่นั่นวุ่นวายมาก เจ้าจะไปทำอันใด? บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี ระหว่างนี้ก็พักฟื้นอยู่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ไปก่อน!”
ใจหนึ่งเขาห่วงเรื่องสุขภาพของเจียงจื่อหยวน และไม่อยากให้นางกลับไป
แต่อีกใจก็เป็นเพราะเจียงจื่อหยวนถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียวแล้ว แม้เขาจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะทำได้
เพียงคิดก็รู้แล้วว่า หากเจียงจื่อหยวนปรากฏตัวขึ้นที่นั่นอีกครั้ง จะเกิดอันใดขึ้น
คงไม่พ้นถูกหัวเราะเยาะเย้ยใส่เป็นแน่!
เจียงจื่อหยวนจับจ้องไปที่ใบหน้าของไป๋หลีฉุนอย่างเว้าวอน
นางอยู่กับเขามาหลายปี และเข้าใจถึงจิตใจของเขาได้มากกว่าใคร
และมันทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ถูกไล่ออก…
นางไม่ใช่ศิษย์ของสำนักหลิงเซียวอีกแล้ว!
และยังถูกไล่ออกด้วยวิธีการที่แสนน่าอับอายเช่นนั้นอีก!
ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะหนีรอดจากการกล่าวโทษของตระกูลเหลี่ยง และสายตาเยาะเย้ยของคนเหล่านั้น การกลับไปตอนนี้ ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลยสักนิด
แต่นาง… ไม่อยากพลาดฉากเด็ดๆ แบบนี้!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ดวงตาของเจียงจื่อหยวนก็พลันทอประกายวาววับ
“ถ้าอย่างนั้น… ท่านปู่ฉุนเจ้าคะ ให้ข้าปลอมตัวเข้าไปเป็นอย่างใด?”
ไป๋หลีฉุนชะงัก
ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งขมวดคิ้วมุ่น
“เกรงว่าเช่นนั้นคงไม่เหมาะสมกระมัง…”
ถ้าโดนจับได้ เขาไม่สนหรอกว่าเจียงจื่อหยวนจะอับอายเพียงใด แต่ประเด็นคือพระราชวังเมฆาสวรรค์จะโดนบ่วงไปด้วย…
แล้วจะทำอย่างใดต่อ?
แม้ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเผ่าเซียนสุ่ยหลิง แต่เขาก็ไม่ได้ไร้สมอง
ไม่ว่าอย่างใด พระราชวังเมฆาสวรรค์ก็คือรากฐานสำคัญของพวกเขา
หากชื่อเสียงของพระราชวังเมฆาสวรรค์ถูกทำลาย อาจเกิดมหันตภัยร้ายแรงขึ้นได้… และผู้อาวุโสอย่างเขา ก็ต้องเป็นหนังหน้าไฟให้คนพวกนี้!
ทว่าขณะเดียวกัน ไป๋หลี่ฉุนก็โพล่งขึ้นว่า
“ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาว่า เจ้าจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจนกว่าจะถึงเพลาอันควร!”
เจียงจื่อหยวนตอบรับอย่างมีความสุข
“ท่านประมุข นี่มัน… ” ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งอยากจะโน้มน้าวเขาอีกครั้ง แต่ไป๋หลีฉุนกลับจ้องหน้าเขาเขม็ง
“… เช่นนั้นท่านทั้งสอง ก็ระวังตัวด้วย”
ไป๋หลีฉุนสะบัดแขนเสื้อ ใบหน้าเรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ แต่กลับแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งทะนงตน
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เพียงแค่ปกป้องเจียงจื่อหยวนคนเดียว ย่อมมิใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด
เจียงจื่อหยวนก้าวไปข้างหน้า แล้วกอดแขนของเขาอย่างออดอ้อนระคนภูมิใจ
“ท่านปู่ฉุนของข้าใจดีที่สุดเลย!”
ไป๋หลีฉุนแย้มยิ้มและพยักหน้า
“ยังไม่ไปเปลี่ยนชุดอีก!”
“ไอหยา! จะไปเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ!”
…
สำนักหลิงเซียว
เหล่าผู้อาวุโสกำลังวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมการประชุม
ข่าวที่ว่ายอดฝีมือจากทั่วทั้งราชอาณาจักร กำลังจะรวมตัวกันในเมืองฝางโจว เพื่อเผชิญหน้ากับฉู่เยว่นั้น ได้แพร่กระจายไปในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาในสำนักอย่างเงียบเชียบ
แต่เพราะมันคือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เหล่าผู้อาวุโสจึงพากันหารือหลายต่อหลายครา และตัดสินใจประกาศเรื่องนี้ออกไป
อย่างใดเสียถึงไม่บอกตอนนี้ แต่หลังจากนี้อีกไม่กี่วัน เมื่อคนพวกนั้นมาถึงเมืองฝางโจว เดี๋ยวศิษย์ของเขาก็จะรู้เอง
บรรยากาศทั่วทั้งสำนักวิชาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดแลกดดันจนน่าขนลุก
และแทบจะไม่มีใครออกมาเดินข้างนอกเลย
เมื่อใกล้วันนัดหมาย ทุกคนต่างเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาทีละนิด
ทว่ายามนี้ ศูนย์กลางพายุลูกนี้ กลับกำลังฝึกฝนอย่างสบายใจเฉิบอยู่ในเจดีย์บนเขาเฝิงหมิน
[1] เคาะภูเขาเขย่าเสือ (敲山震虎) หมายถึง จงใจเตือนเพื่อให้คนหวาดกลัว