ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1447 เริ่มการแสดง
ตอนที่ 1447 เริ่มการแสดง
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ ย่อมไม่รู้ว่าเมิ้งเหล่ากำลังคิดอันใดอยู่
แต่ถึงจะรู้นางก็ไม่สนใจ
นางมีชีวิตอยู่มาสองชาติแล้ว ชาติก่อนนางทะลวงขึ้นสู่อาณาเขตเซียนเทพ และได้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพแล้ว นางจึงเข้าใจดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของตนนั้นเสี่ยงเพียงใด
แม้ในความทรงจำ นางจะหยุดอยู่ที่ระดับเก้าขั้นสูงสุด
แต่ยามนี้ มันไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
ผู้คนมากมายหมายมาดมาหานาง หากปกป้องตัวเองไม่ได้ ถึงตอนนั้นมิใช่นางจะถูกบดขยี้จนตายหรอกหรือ?
ถึงจะมีสำนักหลิงเซียวและหรงซิวคอยช่วย แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้โดยไร้ข้อผิดพลาดเสียทีเดียว
ฉะนั้นนางจึงต้องทะลวงขั้นพลังปราณให้ได้โดยเร็ว!
และครั้งที่แล้ว ในขณะที่นางอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของการทะลวง ข่าวเหตุร้ายของท่านพ่อทำให้นางตกใจ สภาพจิตใจปั่นป่วนสับสนวุ่นวายจนล้มเหลว
แต่นั่นไม่เกี่ยวกับระดับพลังปราณของนาง
นางจึงยังเชื่อว่าตัวเองจะทำได้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดประตูบานนั้น ก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง!
ต่างจากครั้งก่อน เพราะครั้งนี้ ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะใส่ใจรายละเอียดของมันมากขึ้น
นางมองเห็นลวดลายอันประณีตที่แกะสลักไว้บนประตู
เพียงแต่ลวดลายที่ปรากฏขึ้นนั้น นางเห็นเพียงรูปร่างคร่าวๆ ของมัน แต่ไม่อาจมองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน
แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉู่หลิวเยว่
นางเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปอีกครั้ง
มวลม่านพลังปราณผืนใหญ่แลงดงาม ยังคงหมุนวนอยู่รอบตัว ก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นแลสบายกาย ราวแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อนก็มิปาน
ลมหายใจของนางแผ่วลง ลมปราณในกายพลันเพิ่มพูนขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
…
เมิ้งเหล่าเฝ้ามองนางจากชั้นบน หลังจากทะเลาะกับตัวเองอยู่นาน เขาก็ตัดสินใจรอดูสถานการณ์ต่อไป
การรบกวนเขาในยามนี้ ย่อมเกิดอันตรายมากกว่าคุณประโยชน์
เช่นนั้นก็รอดูต่อไปแล้วกัน!
ไม่แน่ว่า…
ดวงตาอันลึกล้ำของชายชรานามเมิ้งเหล่าหรี่ลงเล็กน้อย แต่ไม่กล้าคิดไปไกลกว่านี้
เพราะกลัวว่าถ้าคิดแง่ดีเกินไป ยามล้มก็จะยิ่งเจ็บ
ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ เฝ้าดูอย่างระมัดระวัง
หากมีอันใดผิดพลาด เขาจะรีบยื่นมือเข้าช่วยทันที จะได้ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงที่ยากเกินจะควบคุม
“เจ้าเด็กนี่ นิสัยเหมือนนังหนูนั่นไม่มีผิด…”
ช่างคล้ายกันเหลือเกิน
ไม่เพียงแต่ดวงตาเท่านั้น แม้แต่นิสัยของพวกเขาก็ยังกล้าบ้าบิ่น ไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองเหมือนกันเลย!
แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นรำคาญใจแต่อย่างใด
เมิ้งเหล่าถอนหายใจเฮือกใหญ่
นี่เขาไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้กัน ถึงได้เจอแต่เด็กที่รับมือยากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้!
จบเรื่องนี้เมื่อใด เขาจะไม่หาเวรหากรรมใส่ตัวเองอีกแล้ว!
ใครรับก็รับไปเถอะ!
หอระฆังบูรพกษัตริย์
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั่งอยู่บนปรัมพิธีด้านบน ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้านล่าง พลางรายงานเกี่ยวกับการเตรียมการของสำนักวิชาในด้านต่างๆ
“ค่ายกลรอบๆ สำนักวิชาได้รับการตรวจสอบหมดแล้ว ไม่พบปัญหาอันใด”
“ศิษย์ทุกคนรับทราบแล้วว่าภายในครึ่งเดือนนี้ พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกจากสำนักวิชาตามอำเภอใจ ส่วนผู้ที่อยู่ข้างนอก ก็ถูกเรียกกลับโดยด่วนเช่นกัน โดยจะมีผู้อาวุโสออกไปรับเป็นรายคน”
“บางตระกูลติดต่อกลับมาแล้ว และจะมาสบทบกับเราเมื่อถึงเวลา”
“ใช่แล้ว ยังมีศิษย์เก่าอีกหลายคนที่จะเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงครานั้น พวกเขาจะเฝ้าระวังอยู่นอกเมืองฝางโจว หากทุกอย่างราบรื่น พวกเขาก็จะรออยู่ด้านนอกต่อไป แต่ถ้าเกิดข้อพิพาทขึ้นเมื่อใด… พวกเขาจะรีบบุกเข้าไปในเมืองทันที”
…
สำนักหลิงเซียวยืนหยัดมาได้นานนับพันปี ชื่อเสียงแลสถานภาพในอาณาจักรเสิ่นซวี่เองก็ไม่ธรรมดา
หลังจากข่าวการประชุมแพร่กระจายไป ครอบครัวชนชั้นสูงจำนวนมากที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา ก็พร้อมใจแสดงความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และยังมีศิษย์เก่าหลายคนที่รีบกลับมาช่วยพวกเขา
หลายคนเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแลเลื่องชื่อในอาณาจักรเสิ่นซวี่ และบางคนก็เป็นเจ้าเหนือหัวของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง
ดังนั้น แม้ภายนอกครั้งนี้สำนักหลิงเซียวจะดูเสียเปรียบ แต่ความจริงแล้วสำนักหลิงเซียวมิได้ถูกโจมตีได้ง่ายๆ เช่นนั้น
ถึงอีกฝ่ายจะมีคนเยอะกว่า แต่ก็มิได้คณามือของพวกเขา
แม้ในบรรดาตระกูลมากมายหล่านั้น ที่ตั้งคำถามกับฉู่เยว่ในครานี้ จะมีลูกหลานหลายคนที่เคยเป็นศิษย์ของสำนักวิชา
แต่เมื่อถึงเวลา ก็จักไว้หน้ากันอยู่บ้าง
ยามนี้ทุกคนล้วนตื่นตัวกับเรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
และจะดีที่สุดหากควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพยักหน้าเบาๆ
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันรักษาจุดยืนของสำนักเอาไว้
แม้นคนพวกนั้นจะมุ่งเป้าไปที่ฉู่เยว่ แต่ถ้ามองดีๆ ก็ไม่ต่างจากการเหยียดหยามสำนักหลิงเซียวเลยมิใช่หรือ?
“อันที่จริงคราวนี้ สำหรับสำนักของเราแล้ว มันก็เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ
“หลายปีที่ผ่านมา สำนักของเราวางตัวเป็นกลาง และไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องผิดศีลธรรมจรรยา แต่สำหรับบางคน มันกลับกลายเป็นความขี้ขลาดและความตกต่ำ โดยเฉพาะช่วงสามปีก่อน หลังจากที่เจ้าสำนักหายตัว… แต่เริ่มมีคนปฏิบัติกับเราราวตัวตลก”
สำหรับคนนอก เจ้าสำนักได้ออกจากที่นี่ เพื่อฝึกตนบำเพ็ญเพียร
แต่ความจริงแล้ว มีเพียงคนในสำนักเท่านั้น ที่รู้ว่าเจ้าสำนักหายตัวไปจริงๆ
และไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างใดบ้าง…
หลายปีมานี้ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ ไม่เคยคิดจะเลิกตามหาเจ้าสำนักเลย
เพราะนามของเขาที่อยู่ในบัญชีรายชื่อนั้น ยังไม่เคยจางหาย
นั่นบ่งบอกว่าเจ้าสำนักยังมีชีวิตอยู่
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมา และมิได้ส่งสารกลับมาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า จึงไม่แปลกที่คนนอกจะเริ่มสงสัย
และครั้งนี้พวกเขากล้าเดินหมากแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่เองก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล
เมื่อเจ้าสำนักไม่อยู่ พวกเขาก็กล้าลำพองใจมากกว่าเดิม
“ถ้าเราใช้โอกาสนี้จัดการพวกเขาได้ เราก็จะอยู่กันอย่างสงบสุขได้พักหนึ่ง”
ครั้งนี้สำนักหลิงเซียวเชิญตระกูลชั้นสูงมามากมาย ในสายตาของใครหลายๆ คน มันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลย
แต่ความจริงแล้ว พวกเขารู้ดีว่ากำลังทำอันใด
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ได้เคารพสำนักหลิงเซียวเลย แล้วพวกเขาจะต้องสนใจอันใดอีก?
ถ้ายอมปล่อยให้คนเหยียบหัว แล้วไม่สู้กลับบ้าง เช่นนั้นก็เหมือนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตน ด้วยปลายเท้าตัวเองเลยมิใช่หรือ?
เมื่อนั้นทุกคนก็จะเข้าใจว่า ผู้ใดก็สามารถกดขี่ข่มเหงสำนักหลิงเซียวได้ ความขี้ขลาดและไร้ความสามารถต่างหาก ที่น่ากลัว!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนผงกศรีษะ ใบหน้าเคร่งขรึมแลจริงจัง
“ถ้าฝั่งฉู่เยว่ไม่มีปัญหาอันใดจริงๆ พวกเขาย่อมไม่กล้ายุ่งวุ่นวาย หากคลี่คลายเรื่องทุกอย่างได้อย่างราบรื่น คงจะดีไม่น้อย แต่ถ้าพวกเขายังยืนกรานจะเอาความให้ได้… เช่นนั้นเราจะโต้กลับทันที!”
ผู้อาวุโสหลายคนตกใจสะดุ้งโหยง
“รับทราบ!”
…
สามวันผ่านไปในพริบตา
ภายในเมืองฝางโจวนั้นเงียบกริบราวกับเมืองร้าง
ตรอกซอกน้อยใหญ่ถูกทิ้งร้างไร้ผู้คน
บุคลากรที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถูกคนของสำนักหลิงเซียวอพยพไปที่อื่นแล้ว
คนเหล่านั้นเองก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่ ฉะนั้นจึงรีบจากไปเร็วพลันโดยไม่ลังเล
ถึงจะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใด ทว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของพวกเขาย่อมสำคัญที่สุด
หากสงสัยใคร่รู้ผิดเวลา คงได้ตายก่อนรู้มากกว่ากระมัง?
คนเหล่านั้นที่มารวมตัวกันที่นี่ ไม่ว่าใครจะปรากฏตัวขึ้นก่อน ต่างก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลในอาณาจักรเสิ่นซวี่กันทั้งนั้น!
และครั้งนี้ก็ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว
ครั้งก่อนยังถือว่าเป็นภัยคุกคามที่พอทน เพราะคนพวกนั้นไม่ได้คิดจะลงมือจริงๆ
ทว่าครานี้…
คงไม่ใช่แบบนั้น!
…
แก้ง!
แก้ง!
แก้ง!
เสียงระฆังที่อยู่ไกลออกไปแผดเสียงระงม และดังกึกก้องไปทั่วสำนักหลิงเซียว!