ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1449 ร้องขอไม่ได้
ตอนที่ 1449 ร้องขอไม่ได้
ทุกคนในอาณาจักรเสิ่นซวี่ล้วนรู้ว่าไป๋หลีฉุนเข้าด่านมาหลายปีแล้ว และไม่มีวี่แววจะออกด่านเสียที
คิดไม่ถึงว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่!
นี่เขา…ออกด่านแล้วหรือ?
แต่เหมือนว่าการประชุมในวันนี้ จะไม่ได้เชิญเขานิ?
อีกอย่างตอนนี้ โอรสแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์อย่างหรงซิวเอง ก็อยู่ที่สำนักหลิงเซียว!
และแสดงเจตจำนงชัดเจนแล้วว่าเขาอยู่ฝั่งเดียวกับสำนักหลิงเซียว
แล้วยามนี้ ไป๋หลีฉุนจะมาที่นี่อีกเหตุใด?
หรือเขา…จะมาพูดช่วยสำนักหลิงเซียวเหมือนกัน?
ทุกคนล้วนคิดไปต่างๆ นานา หากแต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า และลุกขึ้นแสดงความเคารพต่อเขา
ไป๋หลีฉุนนั้นมีสถานะสูงส่งมาก
ถึงปัจจุบันเขาจะไม่มีอำนาจในการปกครองแล้ว แต่ก็…ต้องไว้หน้ากันอยู่ดี
อย่างใดเสียเขาก็เป็นถึงประมุขของพระราชวังเมฆาสวรรค์
ผู้อาวุโสเหวินซีเองก็นำคนของสำนักออกไปต้อนรับเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็ท่านประมุขไป๋หลีนี่เอง! ลมใดหอบท่านมาหรือ!? ท่านเดินทางมาเสียไกล แต่มิได้จัดพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ ข้าต้องขออภัยอย่างสูง! ”
รัศมีรอบตัวของไป๋หลีฉุนเปล่งแสงวาบวาบ พลันลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็มิได้ก่อให้เกิดคลื่นความผันผวนรอบตัวแต่อย่างใด
ทุกคนมองดูภาพนั้นด้วยความตกใจ
เช่นนี้ก็หมายความว่า เขาทะลวงขึ้นอีกขั้นแล้ว!
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของผู้คนรอบตัว ไป๋หลีฉุนที่คราแรกไม่สบอารมณ์ กลับรู้สึกดีขึ้นทันตา
เขารู้ดีว่าหลังจากเข้าด่านอยู่หลายปี สิทธิในการปกครองของเขาทั้งหมด ถูกมอบให้หรงซิวแล้ว
แต่โชคดีที่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น!
คนเหล่านี้จึงยังให้เกียรติเขา
แม้ภายในใจจะค่อนแคะเขาเพียงใด แต่ภายนอกก็ต้องเคารพเขา!
ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ขอแค่หมัดของตนทรงพลังมากพอ สิ่งอื่นย่อมมิอาจต่อกรได้!
“ผู้อาวุโสเหวินซีไม่ต้องเกรงใจ ครั้งนี้ข้ามาที่นี่โดยมิได้รับเชิญ ข้าเองก็อยากรู้ว่าพวกเขากำลังทำอันใดกันอยู่ ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด! ไม่ต้องสนใจข้า!”
ไป๋หลีฉุนลูบเคราของตน พลันแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
แต่ในใจของผู้อาวุโสเหวินซีกลับสัมผัสได้ถึงคำสาปแช่ง
พูดน่ะมันง่าย!
เดิมทีพวกเขาได้จัดเตรียมตำแหน่งของทุกคนไว้แล้ว แต่พอมีไป๋หลีฉุนเข้ามา ก็ต้องหาตำแหน่งที่นั่งเพิ่มให้เขา!
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขานั้นมีสถานะสูงศักดิ์ จะให้นั่งด้านข้างถัดจากคนอื่นๆ ก็ไม่ได้!
หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ผู้อาวุโสเหวินซีก็ทำได้เพียงยืดแขนออกไปแล้วผายมือ
“เช่นนั้น…ท่านก็นั่งลงเถิด!”
ทางสำนักหลิงเซียวได้จัดที่นั่งเสริมไว้เผื่อขาดเผื่อเหลืออีกเล็กน้อย เนื่องจากหลายตำแหน่งถูกสงวนไว้สำหรับผู้อาวุโสของสำนักโดยเฉพาะ
แต่ตอนนี้เหลือเพียงที่นั่งเดียวเท่านั้น
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินตามหลังไป่หลีฉุนมา
เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกลางๆ รูปร่างผอมบาง มิได้สูงเท่าใด เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าสลับขาว พร้อมเข็มขัดหยกสีขาวพันรอบเอว
ใบหน้าธรรมดา สันกรามคมชัด
ดูๆ แล้ว…ไม่ได้วิเศษวิโสอันใด
“มิทราบว่าท่านนี้คือ…”
“นี่คือเสี่ยวหลิว เขาร่วมเดินทางมากับข้า พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ให้เขายืนอยู่ข้างหลังข้าก็ได้”
ไป๋หลีฉุนโบกมือราวไม่ใส่ใจ
ผู้อาวุโสเหวินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนจะเป็นเพียงผู้ติดตาม มิใช่คนสำคัญแต่อย่างใด
“มิได้หรอกท่าน ทางเรายังมีเก้าอี้สำรองอยู่ เพิ่มเก้าอี้ให้ท่านนี้อีกหนึ่งตำแหน่ง มิใช่เรื่องใหญ่โตประการใด”
ผู้อาวุโสเหวินซีกล่าวพลางขยิบตาส่งสัญญาณให้คนของตน
เก้าอี้สำหรับบุคคลสำคัญนั้นมีไม่มาก แต่มีเก้าอี้ธรรมดาเหลืออยู่อีกหลายตัว
คนของตระกูลอื่นๆ มีที่นั่งกันหมด แล้วจะปล่อยให้ชายหนุ่มผู้นี้ยืนเด่นอยู่คนเดียวได้อย่างใด?
เก้าอี้ว่างถูกย้ายมาอย่างไว และวางไว้ด้านหลังทางซ้ายมือของไป๋หลีฉุน
ไป๋หลีฉุนยิ้มเยาะ ริ้วรอยบริเวณหางตาหยั่งรากลึกขึ้น
“เสี่ยวหลิว ยังไม่ขอบคุณผู้อาวุโสเหวินซีอีกหรือ?”
ชายหนุ่มผู้นั้นตอบรับทันที พลางกล่าวขอบคุณเขาด้วยความเคารพ
“ขอบคุณ ผู้อาวุโสเหวินซีขอรับ”
แปลกมาก…
แค่เพิ่มเก้าอี้ให้ชายหนุ่มคนนี้ เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าไป๋หลีฉุนอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด?
ผู้อาวุโสเหวินซีบ่นอุบอิบในใจ
หรือเป็นเพราะว่า…รู้สึกว่าตัวเองได้รับการใส่ใจ?
อย่างใดเสียชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นคนของเขา
อีกอย่าง พระราชวังเมฆาสวรรค์มีคนตั้งมากมาย แต่ไป๋หลีฉุนกลับเลือกพาเด็กคนนี้มาด้วย แสดงว่าเขาต้องโปรดปรานอีกฝ่ายมาก
แกรก!
ทันใดนั้นก็มีหนึ่งเสียงมาจากด้านข้าง!
ทุกคนเงยหน้ามองทันที
ก่อนจะเห็นรูขนาดย่อมปรากฏขึ้นบริเวณค่ายกลขนาดใหญ่ด้านนอกสำนักหลิงเซียวที่อยู่ไม่ไกล
ร่างเงาหลายร่างบินออกมาจากรูนั่น!
เป็นกลุ่มของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั่นเอง!
ผู้อาวุโสเหวินซีถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุดก็มาเสียที!
บรรยากาศภายในจัสตุรัส แลดูผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
เหล่าคนที่มาช้าและยังไม่ทันได้นั่ง ต่างพากันเข้าไปคารวะผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ ทีละคน
ยามนี้ทุกคนต่างทักทายกันอย่างสุภาพ
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเองก็แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร
ไม่ว่าอย่างใด ก็ต้องให้เกียรติและไว้หน้าซึ่งกันและกัน
ผู้อาวุโสเหวินซีสาวเท้าเข้ามาแจ้งเขา
“ประมุขไป๋หลีก็มา”
“อันใดนะ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสะดุ้งตกใจ พลันมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ไป ก่อนจะเห็นไป๋หลีฉุนอยู่ตรงนั้น
คนผู้นี้…
มิได้เข้าด่านอยู่หรอกหรือ?
ไยถึงออกมาตอนนี้ แถมยังมาที่นี่อีก?
ผู้อาวูโสปั๋วเหยี่ยนคิดไปต่างๆ นานา หากแต่มุมปากของเขากลับกดลึกลงกว่าเดิม
“ฮ่า…ฮ่า! ประมุขไป๋หลี ช่างเป็นเกียรติเสียจริง! เหตุใดวันนี้ท่านถึงแวะเวียนมาหรือ?”
ไม่รู้ว่าหรงซิวจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แล้วเหตุใดเขาถึงไม่เคยพูดถึงเลย?
ไป๋หลีฉุนประสานหมัดรับ พลางระบายยิ้มออกมา
“จู่ๆ ข้าก็นึกอยากมา ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคงจะไม่ตำหนิข้าใช่หรือไม่?”
ท่านมาเถอะ เมืองฝางโจวแห่งนี้ช่างงดงามนัก! ฮ่า ฮ่า! เชิญนั่งก่อนเถิด!”
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอีกเล็กน้อย
บนจัตุรัสกว้างปรากฏภาพแห่งความสุขของกลุ่มคน
แต่แล้วก็มีเสียงอันเฉียบคมดังขึ้น ทำลายบรรยากาศรื่นรมย์จอมปลอมนี่
“ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน พวกเรามากันครบแล้ว ไฉนฉู่เยว่ถึงยังไม่ออกมาอีก? หรือว่า ต่อให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่แล้ว ก็ยังเรียกร้องให้เขาออกมาไม่ได้อีก?”