ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1450 ไม่ช้าเกินไปใช่หรือไม่
ตอนที่ 1450 ไม่ช้าเกินไปใช่หรือไม่
ทั้งจัตุรัสพลันเงียบกริบ
สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสงบนิ่ง มิได้เปลี่ยนแปลงใดๆ ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เข้าใจผิดแล้ว เดิมทีการนัดหมายในวันนี้ก็เป็นความคิดของฉู่เยว่ ที่ต้องการอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจ แล้วไยเขาจะไม่มาล่ะ? ข้าว่าเขาน่าจะมาช้าเพราะติดงานในสำนักมากกว่า เหวินซี เจ้าช่วยไปเร่งเขาทีสิ”
ผู้อาวุโสเหวินซีตอบรับเบาๆ พลันหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังสำนัก
อาคันตุกะทุกคนมองหน้ากันด้วยอารามตกใจ
งานนี้… ฉู่เยว่เป็นคนริเริ่มหรือ?
ตลอดมาพวกเขานึกว่าเป็นแผนของสำนักหลิงเซียวเสียอีก
จะได้ช่วยให้ฉู่เยว่รอดพ้นจากคำกล่าวหา และเป็นการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไปในตัว
คิดไม่ถึงว่าจริงๆ แล้ว…
ฉู่เยว่ผู้นั้นอายุเพียงสิบเจ็ดหนาวมิใช่หรือ? เหตุใดถึงใจกล้าบ้าบิ่นเพียงนี้?
เขารู้หรือไม่ว่าวันนี้เขาเชิญคนแบบไหนมา?
“เหอะ ดูเหมือนว่าศิษย์ผู้นี้ จะยังเป็นแค่ลูกวัวแรกเกิด ที่ไม่รู้จักคมเขี้ยวของพยัคฆ์สินะ!”
ชายที่ถูกตอกหน้าหัวเราะเย้ยหยัน แต่ก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยังคงสงบนิ่งและผ่อนคลาย
“หากบริสุทธิ์ใจ ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องกังวล”
เสียงหัวเราะเยาะของอีกฝ่าย พลันแปรเปลี่ยนเป็นความอับอาย
นี่เขากำลังยืนยันความบริสุทธิ์แทนฉู่เยว่ และกล่าวหาพวกเขาว่าใส่ร้ายเด็กนั่นอย่างนั้นหรือ?
“นอกจากนี้ ถึงเด็กจะเป็นเพียงผู้เยาว์ แต่กลับมีความรับผิดชอบอย่างยิ่งยวด หลังจากได้ยินเรื่องเมื่อคราก่อน เขาเลยคิดว่าตัวเองเป็นคนนำปัญหาเข้ามาสู่สำนักวิชา ดังนั้นเขาจึงต้องลุกขึ้น แล้วอธิบายเรื่องเข้าใจผิดนี้ให้ทุกท่านเข้าใจ แม้นร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวดี แต่ก็ยังลากสังขารป่วยๆ นั่นมาอ้อนวอนข้า ขอให้เขารับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่ายหัวและถอนหายใจ น้ำเสียงของเขาฟังดูน่าเวทนายิ่งนัก
“ข้าพยายามโน้มน้าวแล้ว แต่เขาไม่ฟัง ช่างดื้อดึงเสียจริง”
คราวนี้ไม่มีปากพลอยเย้ยหยันคำใดออกมาอีก
อันใดของเขา?
นี่เขากำลังกล่าวหาว่าเหล่าตระกูลชั้นสูงอย่างพวกเขา ร่วมหัวกันข่มขู่และบังคับเด็กนี่หรือ?
และถึงมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่การกล่าวออกมาโต้งๆ เช่นนี้ ฟังดูไม่ดีอย่างมาก
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะรักใคร่เอ็นดูฉู่เยว่มากเลยทีเดียว”
จู่ๆ ไป๋หลีฉุนก็โพล่งขึ้นมา
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเงยหน้ามองเขา รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา
“ประมุขไป๋หลี ฉู่เยว่คือศิษย์ของสำนักพวกข้า การปกป้องดูแลเขา เป็นเรื่องที่พวกข้าควรทำมิใช่หรือ? และถึงจะไม่ใช่ฉู่เยว่ แต่เป็นลูกศิษย์คนอื่นๆ ของสำนัก พวกข้าก็ยังยึดมั่นในหน้าที่ตามเดิม”
แม้นจะดูเป็นคำตอบสวยหรูราวมีแบบแผน แต่ก็ไร้ซึ่งช่องโหว่ให้จับผิด
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลิงเซียวก็ปกป้องและดูแลลูกศิษย์ลูกหาของพวกเขาอย่างดีมาโดยตลอด
ทว่าเมื่อไป๋หลีฉุนได้ยินสิ่งนี้ ก็พลันรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจกว่าเดิม
เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ หรือ?
แล้วที่พวกเขาลบชื่อของเจียงจื่อหยวน แล้วไล่นางออกจากสำนักวิชา จนนางต้องอับอายขายขี้หน้าเล่า จะว่าอย่างใด?
หากสำนักหลิงเซียวไม่ทำเกินไป นางคงไม่ต้องปลอมตัวมาที่นี่กับเขา
ไป๋หลีฉุนเสียใจแทนเจียงจื่อหยวนมาก
แต่สมองของเขายังประมวลผลอันใดไม่ได้มาก และเขายังไม่ถามเจียงจื่อหยวนเรื่องที่นางถูกไล่ออกแบบจริงๆ จังๆ สักครั้ง
หากดึงมาพันกันหลายปัญหา จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เช่นนั้นไม่ใช่ว่ามันจะยุ่งยากกว่าเดิมอีกหรือ?
ปัญหาของนาง ไว้ค่อยคุยกันเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า
…
“นี่พระราชวังเมฆาสวรรค์ยังกล้ามาอีกหรือ!”
อีกด้านหนึ่ง เหลี่ยงเซียวเซียวที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของตน อดกดเสียงด่าสาปแช่งเบาๆ ไม่ได้
“พวกเขาเองก็เป็นคนสำคัญ!”
เหลี่ยงอีเยี่ยเหลือบมองนางด้วยสายตากดดัน
“ไป๋หลีฉุนเองก็เป็นประมุข ไยเขาจะไม่กล้ามา”
ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะก้าวออกไปมีปากเสียงด้วยแล้ว แต่นี่คือไป๋หลีฉุน!
“เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือว่าเขาประคบประหงมเจียงจื่อหยวนมากแค่ไหน? บางทีการที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ช่วยเจียงจื่อหยวนในครานี้ อาจเป็นเจตจำนงของเขาเองก็ได้”
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่ามันแปลกมาก แต่พอเห็นไป๋หลีฉุนในยามนี้ ความสงสัยทั้งหมดก็พลันคลี่คลายลง
ไป๋หลีฉุนเลี้ยงดูเจียงจื่อหยวนอย่างดีราวกับบุตรธิดาแท้ๆ ของตน และรักใครทะนุถนอมนางยิ่งกว่าสิ่งใด ซึ่งเรื่องนี้ใครๆ ก็รู้
และเพราะเหตุนี้ หลังจากเข้าสำนักเหลี่ยงเซียวเซียวถึงยอมผูกมิตรกับเจียงจื่อหยวน และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
ไม่อย่างนั้นบุตรสาวจากฮูหยินใหญ่ของตระกูลเหลี่ยงอย่างนาง จะยอมคบค้าสมาคมกับเจียงจื่อหยวนหรือ?
หากแต่คิดไม่ถึงว่าเจียงจื่อหยวนจักเสียสติถึงเพียงนี้ นอกจากจะถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียวแล้ว อีกฝ่ายยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชายสามของนางอีก!
ยามนี้เหลี่ยงเซียวเซียวเกลียดนางเข้าไส้
“ไม่รู้ว่าหลังจบเรื่องนี้ ประมุขไป๋หลีผู้นั้น จะยังรักใคร่เอ็นดูนังสารเลวนั่นอยู่อีกหรือไม่!”
เหลี่ยงอีเยี่ยมิได้ออกความเห็นใดๆ
“พอแล้ว ลดเสียงลงหน่อย”
ผู้คนมากมายล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ และบางเรื่องก็ไม่อาจพูดพล่อยๆ ได้ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้า อาจเกิดปัญหาวุ่นวายตามมาอีก
เหลี่ยงเซียวเซียวจึงจำต้องกัดฟันกรอดอย่างอดทน
…
ณ ด้านนอกภูเขาเฝิงหมิน ผู้อาวุโสวั่นเจิงและหรงซิว กำลังรอให้ฉู่หลิวเยว่ออกมา
พวกเขามารอที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว
เสียงระฆังบนหอระฆังบูรพกษัตริย์ดังบอกเวลานัดหมาย หากแต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากภายในเจดีย์
ตามหลักแล้ว ถึงจะอยู่ข้างใน ก็ย่อมได้ยินเสียงระฆังอยู่ดี
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเงยหน้ามองสีของท้องนภา
“ผ่านมาสักพักแล้ว เหตุใดฉู่เยว่ยังไม่ออกมาอีก? หรือจะเจอปัญหาอันใด จนทำให้ล่าช้าเช่นนี้?”
เขาไม่ค่อยสบายใจเสียเท่าไร
แม้ไอ้หนูฉู่เยว่นั้นจะซนมาก แต่เมื่อทำการใหญ่ เขามักจะมีเหตุผลเพียงพอเสมอ
แต่เหตุใดยามนี้ อีกฝ่ายถึงมาสายโดยไร้สาเหตุบอกกล่าว…
หรงซิวที่อยู่ด้านข้างพลันหรี่ตาลง ลำแสงวาววับแวบผ่านดวงตาเรียวคมราวปักษาคู่นั้น
“วั่นเจิง ฉู่เยว่เล่า?”
ผู้อาวุโสเหวินซีรีบพุ่งตัวเข้ามา ก่อนจะเห็นทั้งสองคนที่ยืนรออยู่ หัวใจเต้นรัวอย่างเป็นกังวล
“เขายังอยู่ในนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพยักหน้า
“ไม่รู้เกิดอันใดขึ้น แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด”
“”คือว่า… เหล่าอาคันตุกะมาถึงกันหมดแล้ว!”
ผู้อาวุโสเหวินซีเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตน
ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เป็นไร แต่คนพวกนั้นมิใช่พวกที่เขาจะไปยั่วยุได้ง่ายๆ แล้วจะปล่อยให้พวกเขารอเก้อได้อย่างใด?
นอกจากนี้ ปั๋วเหยี่ยนก็ออกไปแล้ว
ฉู่เยว่ผู้เป็นศิษย์ผู้น้อย และยังเป็นประเด็นที่ทุกคนถกเถียงกันในครานี้ แต่กลับไม่ปรากฏตัวเสียที นี่มันหมายความว่าอย่างใด?
หากไปช้ากว่านี้ มีหวังคนพวกนั้นต้องหยิบประเด็นนี้มาพูดแน่ๆ
“พวกเจ้าไม่ได้ถามเมิ้งเหล่าหรือ?”
เมิ้งเหล่าอาศัยอยู่ด้านในตลอดเวลา และเขาน่าจะรู้สถานการณ์ของฉู่เยว่ในตอนนี้ดีที่สุด
ผู้อาวุโสวั่นเจิงขมวดคิ้ว
“ยังไม่ได้ถาม”
“เช่นนั้น…” ผู้อาวุโสเหวินซีก้าวไปด้านหน้า จะปล่อยให้ช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“เมิ้งเหล่าคือผู้ควบคุมกลยุทธ์ทั้งหมดในนั้น และย่อมรู้ว่าการนัดหมายในวันนี้สำคัญเพียงใด แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยฉู่เยว่ออกมา ต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่นอนขอรับ”
หรงซิวที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นแลดูไพเราะเสนาะหู และเป็นน้ำเสียงยามปกติของเขา
ผู้อาวุโสเหวินซีหยุดชะงัก ในใจของเขาสับสนอย่างยิ่ง
ที่หรงซิวว่ามาก็ถูก
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้เรียกร้องไปก็ไม่มีประโยชน์
แต่… พวกเขาจะต้องรออยู่แบบนี้จริงๆ หรือ?
อีกไม่นานพวกแขกบ้านแขกเมืองเหล่านั้น จะต้องอาละวาดแน่!?
พวกเขาอดทนรออย่างอยากลำบาก
และในที่สุด เมื่อผู้อาวุโสเหวินซีกำลังจะหมดความอดทนและเตรียมก้าวเท้าออกไป ค่ายกลด้านนอกภูเขาเฝิงหมินก็กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นทรงกลม!
ตามมาด้วยร่างผอมสูงที่เดินออกมาจากด้านหลังประตูบานใหญ่ของเจดีย์!
นั่นมัน ฉู่หลิวเยว่!
“ออกมาแล้ว!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมีความสุขมาก พลันโบกไม้โบกมือให้ฉู่เยว่พัลวัน
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น และมองเห็นพวกเขาที่รออยู่ พลันหายตัวด้วยความเร็วสูง
พรึบ!
จากนั้นร่างของนางก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาอย่างว่องไวปานสายฟ้า!
ผู้อาวุโสเหวินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฉู่เยว่เอ๋ย! ในที่สุดก็ออกมาเสียที ถ้าเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะบุกเข้าไปตามแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ริมฝีปากงามยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ขออภัยขอรับ ศิษย์ใช้เวลานานไปหน่อยกว่าจะทะลวงผ่าน แต่คงไม่ช้าเกินไปใช่หรือไม่ขอรับ?”