ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1453 การสนับสนุน
ตอนที่ 1453 การสนับสนุน
หรงซิวหัวเราะเบาๆ มุมปากสีแดงสดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ หากแต่ดวงตาเรียวคมราวปักษาคู่นั้น ยังคงฉายแววเย็นชา
“คารวะท่านประมุข”
เขาผงกศีรษะเล็กน้อย
แม้จะเป็นเพียงการแสดงความเคารพ ทว่ารัศมีความสูงศักดิ์และสง่างามรอบตัวเขา กลับมิได้ลดลงเลย ในทางกลับกัน มันทำให้เขาดูสง่าและทรงเกียรติมากยิ่งขึ้น
ต่อหน้าไป๋หลีฉุนผู้นี้ เขาไม่มีวันยอมลดลาวาศอกให้เด็ดขาด
หัวใจของไป๋หลีฉุนจมดิ่ง
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายปี ดูเหมือนว่าหรงซิวในตอนนี้ จะไม่ใช่คนที่เขายั่วยุได้ง่ายๆ แล้ว
เขายังคงจำช่วงเวลาก่อนที่เขาเลือกเข้าด่านได้ดี ตอนนั้นหรงซิวยังดูเด็กอยู่เลย
ทว่าเพียงพริบตา ร่างกายของเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้ขยับขยายและพัฒนา จนกลายบุรุษร่างยักษ์อย่างทุกวันนี้!
เขายังคงประเมินหรงซิวต่ำไป!
“ไม่ทราบว่าท่านประมุขออกด่านตั้งแต่เมื่อใดหรือขอรับ ตัวข้ามิได้รับข่าวคราวอันใดเลย”
หรงซิวระบายยิ้มบางเบา
“หากทราบล่วงหน้า ข้าคงออกมาต้อนรับท่านด้วยตัวเองแล้ว”
ไป๋หลีฉุนระงับความหงุดหงิดในใจไว้
“ข้าออกด่านมาตั้งแต่สองวันก่อน ใจจริงก็อยากจะส่งสารถึงเจ้า แต่หลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าเลยตัดสินใจมาด้วยตัวเอง ข้าคิดว่าอย่างใดเสียเราก็ได้เจอกันอยู่แล้ว เลยไม่ได้สั่งให้พวกเขาบอกเจ้า”
“เช่นนี้นี่เอง หลังจากท่านประมุขออกด่านในครานี้ ดูเหมือนจะทะลวงขึ้นได้อีกแล้ว? ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านอย่างยิ่ง”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของไป๋หลีฉุนผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขายิ้มเยาะ พลันกระตุกยิ้มมุมปาก
นี่ไม่ใช่คำพูดที่บ่งบอกถึงการถ่อมตนแต่อย่างใด
หลังจากออกด่าน เขาก็ถามคำถามกับอวี๋จิ้งและคนอื่นๆ จำนวนหนึ่ง
หนึ่งในนั้น มีคำถามเรื่องความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหรงซิว
แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกของอวี๋จิ้งไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าใด
นั่นเพราะไม่กี่ปีมานี้ หรงซิวแทบไม่ค่อยพักอยู่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์
และทุกครั้งที่กลับมา ก็มักเป็นการแวะเวียนมา และจากไปอย่างเร่งรีบ
แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างใด?
ส่วนมากก็ทำได้เพียงคาดเดาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่ยากที่จะคาดเดาความแข็งแกร่งของหรงซิว
หลังจากไป๋หลีฉุนตกตะลึงพรึงเพริดอยู่พักหนึ่ง แม้นจะไม่ชอบนัก แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับมัน
… หรงซิวคืออัจฉริยะของพระราชวังเมฆาสวรรค์ที่ปรากฏตัวขึ้นในรอบพันปี ไม่แปลกที่เขาจะฝึกตนและทะลวงขั้นพลังปราณได้เร็วขนาดนี้
มีหรือที่คนรอบตัวจะไม่อิจฉาตาร้อน
ซึ่งนั่นรวมถึงเขาด้วย
หรงซิวเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่าเชือดเฉือนแลเย็นชาและราวคมมีด
เจียงจื่อหยวนใจหายวาบ
ไม่ต้องเงยหน้าขึ้น นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาของหรงซิวที่จ้องมองนางไม่วางตา ราวกับจะมองกันให้พรุนไปข้าง!
นางก้มศีรษะลงกว่าเดิมด้วยความหวาดหวั่น
นางปลอมแปลงใบหน้าและรูปร่างของตัวเองแล้ว แม้แต่ลมปราณของนางเอง ก็ถูกไป๋หลีฉุนเฟ้นหาวิธีพิเศษช่วยปกปิดให้
ตามหลักแล้วย่อมไม่มีข้อบกพร่องใดๆ…
“ท่านนี้เป็นใคร ไยข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน?”
ไป๋หลีฉุนพลันขมวดคิ้ว
“เสี่ยวหลิวน่ะ ช่วงนี้เขาเพิ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาจากชั้นประทวน ข้าเห็นว่าเขาหน่วยก้านดี จึงพาเขามาด้วย ในพระราชวังเมฆาสวรรค์มีบริวารอยู่มากมาย โอรสสวรรค์คงไม่ได้รู้จักมักจี้กับบริวารทุกคนหรอกกระมัง?”
หรงซิวหลุดหัวเราะทันที
“ถูกของท่านขอรับ คนที่ทำให้ท่านเชิญมาที่นี่ได้ คงมิใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว อย่างใดเสีย ตัวข้านั้นคงมีตาหามีแววไม่ ถึงไม่เคยพบพานกับยอดฝีมือเช่นนี้”
ไม่ว่าจะบริวารชั้นใดของพระราชวังเมฆาสวรรค์ หากเขาได้เห็นหน้าคร่าตาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมจำคนผู้นั้นได้ขึ้นใจ
ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ผู้ต่ำต้อย
หรือคนผู้นี้…
หรงซิวยิ้มเยาะหนึ่งที และถอนสายตาออกไป
เมื่อปราศจากสายตากดดัน ในใจของเจียงจื่อหยวนพลันรู้สึกโล่งอก
สายตานั่นเย็นเฉียบราวกับแช่แข็ง และมันทำให้ตกใจจนแผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
นางแอบกัดฟันกรอด
หรงซิวทำเพียงจ้องมองนาง โดยมิได้แสดงพิรุธอันใดออกมา…
แต่ขออย่าให้เขาดูออกเลย!
เดิมทีเจียงจื่อหยวนต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อมองดูใบหน้าที่ตามหลอกหลอนนางในฝันทุกวันคืน อย่างใดเสียพวกเขาก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
แต่ขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกร้อนรนกับประโยคคำถามของหรงซิว จึงทำให้ไม่กล้ากระทำการหุนหันพลันแล่น และทำได้เพียงยืนหลบหน้าหลบตาอยู่ด้านข้าง โดยไม่พูดอันใดสักคำ
ไป๋หลีฉุนสแยะยิ้มราวไม่ยิ้ม
“โอรสสวรรค์มีกิจให้จัดการมากมาย เป็นธรรมดาที่เจ้าจะไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเหล่านี้”
มวลคลื่นแห่งโทสะปะทุขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
ดูๆ แล้ว… เหมือนว่าผู้กุมอำนาจและมีสถานะสูงสุดของพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งสองคน จะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร?
ได้ยินว่าตอนที่คนของพระราชวังเมฆาสวรรค์ตามหรงซิวกลับมานั้น ประมุขไป๋หลีผู้นี้ได้คัดค้านไม่ให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ตระกูล และเคยเสนอให้ลงโทษหรงซิว ด้วยการลงโทษที่รุนแรงที่สุดถึงสองครั้ง
ซึ่งการลงโทษแบบนั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งก็ยังมิอาจทนได้ นับประสาอันใดกับเด็กน้อยอย่างหรงซิวในยามนั้น?
หากหลังจากนั้นหรงซิวไม่อัญเชิญนาฬิกาไร้กาลเวลาออกมาด้วยตนเอง และค้นพบพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขา ตอนนั้นเขาคงถูกสังหารไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ หรงซิวจึงไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเขากับไป๋หลีฉุนเลย
โดยเฉพาะตอนนี้ ในยามที่หรงซิวครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ และสามารถสั่งการพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งหมดได้ด้วยวลีเดียว!
ยามนี้ไป๋หลีฉุนมิได้ครอบครองพลังปราณเที่ยงแท้อีกแล้ว และเหลือเพียงเปลือกกลวงๆ อย่าง “ประมุข” เท่านั้น
แล้วทั้งสองคนจะมองหน้ากันโดยไม่ระแคะระคายใจได้หรือ?
“เชิญท่านตามสบาย ข้าขอตัวก่อนตัว”
หรงซิวแสร้งทำหูทวนลมยามไป๋หลีฉุนเอ่ยเรื่องราชวงศ์หมิง ก่อนจะโค้งคำนับอย่างสุภาพแล้วหันหลังจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยรัศมีอันสูงส่งและเย่อหยิ่ง จนคนมองมิอาจตำหนิติเตือนได้
เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งเดินออกไปแล้ว ไป๋หลีฉุนก็พลันถอนหายใจพรืด
ในตอนนั้น พวกเขาวางแผนที่จะจัดการกับหรงซิว
แต่เพราะเขาแสดงพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมออกมา หลังจากถกเถียงกันหลายครา ทางพระราชวังจึงเลือกเก็บเขาไว้
ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาไม่เคยเหลียวแลหรงซิวเลยสักนิด
แม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นบุตรีของชายาเอกแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่บิดาของเขานั้นก็มีภูมิหลังที่ต่ำต้อย
และด้วยภูมิหลังเช่นนี้ เขาจึงถูกกำหนดให้อยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์ โดยไร้ซึ่งอำนาจแลยศถาบรรดาศักดิ์จนสิ้นชีวา
แต่ต่อมา สิ่งต่างๆ ก็เริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ และค่อยๆ หลุดออกจากการควบคุม
จนกระทั่งหรงซิวลงมือจับกระบี่ แล้วฝ่าฟันเส้นทางเปื้อนเลือดนั่น เพื่อหาทางออกให้ตัวเอง และขึ้นสู่ตำแหน่งโอรสสวรรค์ เขาถึงตระหนักได้ว่า เขาประเมินชายหนุ่มคนนี้ต่ำเกินไป!
แต่ถึงตอนนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ว่าหรงซิวกลายเป็นโอรสสวรรค์อย่างจำยอม
แต่เขายังคงคิดผิดเรื่องความทะเยอทะยาน และความสามารถของหรงซิว
กระทั่งเขาออกด่านในครานี้ เขาถึงรู้ว่าเขาไม่เคยมองหรงซิวออกเลยต่างหาก!
ทุกสิ่งในอดีตเป็นเพียงกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของหรงซิว!
ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นเขาน่าจะฆ่าเด็กนี่เสีย!
แต่จะให้มานั่งเสียดายตอนนี้ แล้วจะทำอันใดได้?
ไป๋หลีฉุนกัดฟันกรอดอย่างอดกลั้น ใบหน้าบึ้งตึงมืดมนอย่างน่ากลัว
…
ทว่าหรงซิวที่อยู่อีกด้าน กลับมิได้รู้สึกรู้สา และหย่อนกายนั่งลงข้างๆ ฉู่หลิวเยว่
“ไอ้หยา หรงซิว ตำแหน่งของเจ้าอยู่ตรงนี้…”
ผุ้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเหลือบมองไปด้านข้าง พลางชี้ไปยังตำแหน่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของตัวเอง แล้วส่งเสียงเตือน
หรงซิวเอนหลังพิงเก้าอี้ และระบายยิ้มบางเบา
“นั่งตรงไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ผู้อาวุโสเปลี่ยนความคิดทันควัน และไม่ได้โต้เถียงแต่อย่างใด
หรงซิวเขา… เพื่อฉู่เยว่แล้ว ยอมทุ่มเทถึงเพียงนี้เชียวรือ
ฉู่หลิวเยว่เองก็หันไปมอง
สองคนสี่ตาประสาน
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย
เดิมที นางกับหรงซิวควรจะนั่งข้างผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนคนละด้าน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขากับผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั่งขนาบข้างนางทั้งสองด้านแทน
ราวกับกลุ่มดาวที่กำลังล้อมรอบดวงจันทร์ และล้มนางไว้ตรงกลาง
นี่มัน…
การสนับสนุนจากพวกเขาหรือ!?